บทที่ 7
กุ้ยเฟยเซียนส่งยิ้มให้กุ้ยเจียอี ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากมือบางของหญิงสาวจากยุคโบราณลามไปทั่วทั้งร่างที่เป็นเพียงดวงจิตของกุ้ยเจียอีก่อนจะเลือนหายไป พร้อม ๆ กับที่กุ้ยเจียอีสติค่อย ๆ ดับมืดลง
ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นดึงสติของกุ้ยเจียอี หญิงสาวเบิกตาโพลงมองเพดานที่ไม่คุ้นตา เมื่อคืนเธอฝันประหลาดมาก อาจจะเพราะกำยานที่จุดก่อนเข้านอนก็เป็นได้
แต่เพียงคิดได้เท่านั้นความทรงจำแปลก ๆ ก็ไหลบ่าเข้ามาในสมองของคนที่นอนอยู่ จนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา หญิงสาวหมดสติลงไปทันที ผ่านไปราวสองเค่อ ร่างของกุ้ยเฟยเซียนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่คนเดิม
“กุ้ยเจียอี กุ้ยเฟยเซียน”
ความทรงจำของดวงจิตกุ้ยเจียอีหายไปสิ้น เหลือไว้เพียงชื่อเท่านั้นที่ดวงจิตดวงนี้จำได้ ต่อไปนี้ในสมองหลงเหลือเพียงความทรงจำของกุ้ยเฟยเซียนเจ้าของร่างเท่านั้น
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม”
หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงไปแต่งตัวอย่างกระฉับกระเฉง ในหัวก็คิดหาวิธีเอาตัวรอดจากการแต่งงานกับนายอำเภอเล่งตงหยุนให้ได้
ระหว่างที่คุณหนูเจ็ดสกุลกุ้ยกำลังแต่งตัวอยู่นั้นก็มีนกน้อยสีขาวตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้องแต่งตัวของเธอ บินตรงมาเกาะที่กระจกตรงหน้าหญิงสาว ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อแย้มยิ้มอย่างชอบใจ ได้แต่นั่งนิ่งมองมันเฉย ๆ ก่อนที่นกตัวนั้นจะบินจากไป
“หากข้าเป็นนกก็คงจะดีจะได้บินหนีออกไปจากที่นี่ซะ”
พอกุ้ยเฟยเซียนพูดจบก็สบตาเข้ากับหวังฟางที่ยืนช่วยปักปิ่นอยู่ด้านหลังผ่านกระจกตรงหน้า
“หนี!”
หญิงสาวทั้งสองคนอุทานออกมาพร้อมกัน ก่อนจะรีบยกมือปิดปากไว้เพราะกลัวว่าจะมีใครได้ยิน
ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันอย่างเข้าใจความหมาย ก่อนที่ทั้งสองคนจะพากันกุลีกุจอลุกเดินเข้าไปในห้องเล็กที่อยู่ตรงกลางเรือนซึ่งมิดชิดที่สุด
“เราหนีกันเถอะพี่หวังฟาง วันนี้นายอำเภอเล่งจะส่งสินสอดมาข้ารับรองว่าทุกคนจะไม่มีใครสนใจเราแน่นอน”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู เดี๋ยวข้าจะออกไปหารถม้าเอง”
“ได้ เดี๋ยวข้าจะเก็บของรอพี่นะ”
ทั้งสองคนตกลงกันเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไป หวังฟางแกล้ง ๆ เดินถือตระกร้าออกไปนอกจวนทางประตูหลัง ทำเหมือนกับว่าจะไปตลาดดังเช่นทุกวัน แต่วันนี้ที่ต่างออกไปก็คือเธอจะไปหารถม้ารับจ้างพาคุณหนูหนีต่างหาก!
กุ้ยซูเจียวที่เป็นคนวางยาพิษกระชากวิญญาณในชามลูกเดือยต้มน้ำตาลของกุ้ยเฟยเซียน เดินไปมาอยู่ในเรือนราวกับหนูติดจั่น เพราะยังไม่เห็นว่าที่เรือนของกุ้ยเฟยเซียนนั้นจะมีใครโวยวายอะไรขึ้นมา
หญิงสาวเดินไปยืนที่หน้าต่างเรือนตัวเอง ซึ่งสามารถมองเห็นเรือนของอีกคนได้ชัดเจนก็ต้องแปลกใจเพราะเรือนของกุ้ยเฟยเซียนนั้นยังปิดเงียบ หรือว่าจะตายทั้งคู่กันนะเพราะเธอเองก็รู้มาว่ากุ้ยเฟยเซียนนั้นชอบแบ่งของให้หวังฟางที่เป็นบ่าวคนสนิทกินด้วยเสมอ
หญิงสาวคิดได้แบบนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างสะใจ ต้องเป็นอย่างที่เธอคิดเป็นแน่ งานนี้ตายคู่ไปเลยก็ดีจะได้ไม่มีพยานมาสาวความเอาผิดมาถึงเธอได้ เพราะว่าบ่าวคนนั้นเธอก็ได้ให้เงินปิดปากไปมากโขอยู่เหมือนกัน
อีกด้านหนึ่งคนที่กุ้ยซูเจียวเข้าใจว่าตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนก็ยังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นเพื่อเตรียมตัวหนีอยู่ในเรือนที่ปิดเงียบไม่หยุดมือ ข้าวของไม่มากมายเท่าใดนัก แต่ที่จะขาดไม่ได้เลยก็เห็นจะเป็นบรรดาปิ่นปักผมของท่านแม่ที่เคยบอกเธอว่าให้เอาไปขายแลกเงินได้เมื่อถึงยามลำบาก
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามหวังฟางก็กลับมาพร้อม ๆ กับที่เฟยเซียนเก็บของเสร็จพอดี ผู้มาใหม่รีบลงดาลประตูให้เรียบร้อยก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาอีกคนที่กำลังเตรียมของรออยู่
“พี่หวังฟางเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณหนู ได้รถม้าแล้วเจ้าค่ะ ยามเซินจะมารับเราที่ประตูหลังพอดีกับขบวนเกียนสินสอดของจวนสกุลเล่งพอดีเจ้าค่ะ”
