บทที่ 11
ร่างสูงของหลิ่วตงหยางเดินออกมาจากวัด เท้าแกร่งก้าวไปตามทางเดินที่ถูกปูด้วยแผ่นหินดูสวยงามเรื่อย ๆ สองข้างทางเป็นรั้วไม้ที่ทาทับด้วยสีแดงตลอดแนว แต่แล้วจังหวะนั้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็เริ่มมีหยดน้ำหล่นลงมา
เม็ดฝนกลมใสเลื่อนตกกระทบยอดไม้หล่นลงไปบนพื้น เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ คนหน้าคมเห็นดังนั้นก็รีบสาวเท้า
เข้าไปหลบฝนที่ศาลาหน้าวัดซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตรงที่ยืนอยู่เท่าไหร่นัก
แม่ทัพหนุ่มยืนหลบฝนอยู่ในศาลาริมทางนั้นสักพักก็เห็นว่ามีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งฝ่าฝนมาที่ตรงนี้ ชั่วขณะที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาในศาลาด้วยร่างที่เกือบจะเปียกปอนไปทั้งตัว ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่ง
ราวกับว่าเวลาได้หยุดเดิน ทุกสิ่งทุกอย่างนิ่งสนิทแม้แต่เสียงฝนก็เงียบหายไป กุ้ยเฟยเซียนที่ตัวเปียกฝนเย็นฉ่ำ
รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งตัวและหัวใจเมื่อได้สบตากับชายแปลกหน้าที่ซึ่งยืนอยู่ก่อนหน้าเธอ พร้อมกับมีความรู้สึกว่าคุ้นเคยกับอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด
ไม่ต่างไปจากหลิ่วตงหยางเองก็รู้สึกได้ถึงกระแสบางอย่างสื่อมาจากดวงตาคู่นั้น ทั้งสองคนยืนสบตากันอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายได้สติก่อน
คนร่างบางที่สูงเพียงไหล่ของหลิ่วตงหยางยกแขนขึ้นมากอดอกตัวเองไว้ เนื่องจากว่าบัดนี้ตัวของเธอนั้นเปียกจนชุดที่สวมอยู่แทบจะแนบไปกับตัวเห็นทรวดทรงได้อย่างชัดเจน
เสียงจามของคนที่ยืนอยู่ห่างกันเพียงช่วงแขนดังมาอย่างต่อเนื่องจนหัวใจแกร่งของหลิ่วตงหยางเริ่มอยู่ไม่สุข ก่อนที่ร่างสูงจะตัดสินใจถอดเสื้อคลุมสีเข้มของตัวเองออกแล้วส่งให้อีกฝ่ายไป
“เอ่อ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
กุ้ยเฟยเซียนรีบบอกปัดเมื่อเห็นอีกคนยื่นเสื้อคลุมมาให้ เธอจะรับได้อย่างไรกันในเมื่อเธอกับเขาไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย แต่แล้วก็มีลมพัดหอบใหญ่พัดเอาสายฝนสาดซัดเข้ามายังฝั่งที่เธอยืนอยู่อีกระลอก จนตอนนี้เธอตัวเปียกโชก
“เอาไปใส่เถอะ แม่นางคงไม่คิดจะกลับบ้านด้วยสภาพนี้หรอกนะ”
คนหน้านิ่งพูดเสียงทุ้มพลางยื่นเสื้อคลุมให้คนข้าง ๆ โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย แต่คนฟังกลับหน้าแดงเรื่อเมื่อก้มมองสภาพตัวเองที่เขาบอก ก็เห็นว่าบัดนี้ชุดของเธอเปียกจนแนบลู่ไปตามร่างกายซะจนเห็นสัดส่วนทั้งหมดแล้ว
หญิงสาวจำใจยอมรับเอาเสื้อคลุมสีเข้มผืนนั้นมาคลุมร่างตัวเองไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายเบา ๆ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
สองหนุ่มสาวยืนมองสายฝนอยู่ข้าง ๆ กันอย่างเงียบงัน มีเพียงเสียงฝนหล่นกระทบหลังคาศาลาเท่านั้น กลิ่นกายของชายหนุ่มแปลกหน้าที่ติดมากับเสื้อคลุมของเขาทำเอากุ้ยเฟยเซียนรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
ฝนเริ่มซาลงแล้ว กุ้ยเฟยเซียนมองไปเห็นรถม้าของตนที่เจียฮุ่ยเป็นคนขับกำลังตรงมาทางนี้ เธอจึงตั้งใจจะถอดเสื้อคลุมคืนให้คนที่ยืนข้าง ๆ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เธอก็ยังไม่รู้ตัว จึงได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่เล็กลงเรื่อย ๆ ราวกับจะจดจำเขาไว้เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้คืนเสื้อคลุมผืนนี้ให้กับเจ้าของ
เมื่อรถม้ามาจอดเทียบศาลาที่กุ้ยเฟยเซียนยืนรออยู่ หญิงสาวก็ก้าวขึ้นไปนั่งด้านในรถม้า ก่อนที่ทั้งสามคนจะออกเดินทางตรงไปที่ต้าฮวางตามที่ได้ตั้งใจไว้ทันที
ระหว่างการเดินทางไปยังต้าฮวางก็ราวกับว่าฟ้าฝนเป็นใจ เนื่องจากว่าตลอดทางนั้นอากาศเย็นสบายไม่มีทั้งแดดและฝน กุ้ยเฟยเซียนนั่งกอดเสื้อคลุมผืนนั้นเอาไว้ตลอดทาง ในใจก็นึกไปถึงดวงตาคมคู่นั้นอย่างไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง
เนื่องจากว่าไม่มีฝนตกเลยแม้แต่น้อยจึงทำให้ทั้งสามเดินทางไปถึงต้าฮวางได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิด
เมื่อถึงที่บ้านเกิดของผู้เป็นแม่ กุ้ยเฟยเซียนก็รีบเข้าไปสำรวจบ้าน ก็พบว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากท่านตาคนหนึ่งที่บ้านอยู่ไม่ไกลกันเท่าใดนัก
“นางจ้างให้ข้าดูแลบ้าน บอกข้าว่าเผื่อนางจะกลับมาอยู่ที่นี่”
