บทที่ 12
กุ้ยเฟยเซียนที่กำลังนั่งจัดของอยู่ในห้องนอนใหญ่นึกถึงคำพูดของท่านตาที่ดูแลบ้านแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“เหมือนท่านแม่จะรู้ว่าวันหนึ่งข้าจะต้องมาอยู่ที่นี่เลยนะ”
หญิงสาวพึมพำออกมาด้วยรอยยิ้ม ตั้งใจจัดข้าวของต่อไป ทางด้านเจียฮุ่ยก็ออกไปหาฟืนเผื่อว่าหวังฟางที่กำลังจัดห้องครัวอยู่จะทำมื้อเย็น
หลิ่วตงหยางที่กลับมาจากวัดก็พบว่าองค์หญิงอ้ายเหม่ยเสด็จมาหาตนถึงที่จวน และกำลังรออยู่ที่ห้องรับรอง
“องค์หญิง”
“กลับมาแล้วหรือ ข้ารอเจ้าตั้งนาน”
“กระหม่อมต้องขออภัยด้วยที่ให้องค์หญิงต้องรอ”
องค์หญิงอ้ายเหม่ยส่งยิ้มหวานให้แม่ทัพผู้เย็นชาตรงหน้าตน ไม่สนใจว่าอีกคนจะมีท่าทางอึดอัดมากแค่ไหนก็ตาม หญิงสาวเดินตรงเข้าไปหาเขาหวังจะได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายมากขึ้น
“ไปเดินเล่นกันไหมท่านแม่ทัพ”
“ต้องขอประทานอภัยองค์หญิง กระหม่อมยังมีงานที่ต้องสะสางอีกมากคงไม่สะดวก”
หญิงสาวหน้าตึงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธ เพราะไม่ว่าเธอจะเข้าหาเขาแค่ไหนอีกฝ่ายก็ยิ่งถอยหนีมากขึ้นเท่านั้น
“ได้ จะเอาแบบนี้ใช่มั้ยแม่ทัพหลิ่ว สักวันยังไงท่านก็ต้องแต่งงานกับข้าอยู่ดี ฮือ”
องค์หญิงสามที่พึ่งเลยวัยปักปิ่นได้เพียงสองปี สะบัดหน้าเดินย่ำเท้าออกจากห้องรับรองจวนสกุลหลิ่วไปอย่างขัดใจ
ที่ชายหนุ่มไม่ได้ดั่งใจตน น้ำตาร้อนคลอเบ้า ส่งเสียงสะอื้นไปตลอดทาง แต่หลิ่วตงหยางกลับไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อยเพราะนี่เป็นเรื่องที่เขาชินเสียแล้ว
“ท่านแม่ ท่านตา ฮือ”
องค์หญิงอ้ายเหม่ยวิ่งร้องไห้เข้ามาในตำหนักของพระสนมเอก เมื่อพบว่าทั้งแม่ของตนและตานั่งอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งบีบน้ำตาเรียกร้องความสงสารมากขึ้นไปอีก
“ลูกอย่าร้องไห้แบบนี้ให้แม่ทัพหลิ่วเห็นนะ เดี๋ยวเขาก็คิดว่าองค์หญิงของแม่ยังเป็นเด็กแล้วพาลไม่กล้าแต่งงานกับเจ้า
กันพอดี”
“จริงหรือเพคะท่านแม่”
น้ำตาหยุดไหลราวสั่งได้ทันที ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบโผเข้าไปกอดออดอ้อนแม่ของตน
“ท่านแม่ต้องช่วยข้านะเจ้าคะ แม่ทัพหลิ่วไม่สนใจข้าเลย”
“เจ้าต้องใจเย็น ๆ สิ แม่ทัพหลิ่วอาจจะรอให้ลูกแม่โตกว่านี้ก็เป็นได้”
“ใช่แล้วองค์หญิงของตาจะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง”
สองคนพ่อลูกพยายามให้กำลังใจองค์หญิงเพราะกลัวว่าหากอีกคนถอดใจจากแม่ทัพหลิ่ว งานใหญ่ที่พวกเขาหวังไว้มันจะพลอยล่มไปด้วย
องค์หญิงอ้ายเหม่ยออกไปแล้วเหลือเพียงพระสนมเอกและบิดาของตน ซึ่งก็คือเตียวหลิ่วซา ที่ปัจจุบันครองตำแหน่งเสนาดีกรมโยธา
“การก่อสร้างสะพานข้าได้ส่วนต่างมาไม่น้อยเลยทีเดียว ต้องขอบคุณพระสนม”
“ท่านพ่อก็พูดไป ท่านก็มีฝีมืออยู่แล้ว ส่วนเรื่องแม่ทัพหลิ่วหากได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทข้าจะถามพระองค์เอง”
“ดี ๆ ถ้าได้แม่ทัพหลิ่วมาเป็นเขยจริง งานนี้กำลังทหารก็จะมาอยู่ในมือเราด้วย”
สองคนพ่อลูกมองหน้ากันอย่างหมายมาด หนทางที่จะขึ้นเป็นฮองเฮาคงไม่ไกลเกินเอื้อมหากว่าได้แม่ทัพหลิ่วมาเป็นพวกจริง ๆ
ห้าวันต่อมาฝ่าบาทได้มีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงขอบคุณกองทัพทหารของแม่ทัพหลิ่วตงหยางขึ้นที่พระตำหนักบูรพา งานนี้ทุกคนต่างมาร่วมยินดีกับแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล รวมไปถึงองค์หญิงอม้ายเหม่ยด้วยเช่นกัน
หญิงสาวที่เลยวัยปักปิ่นมาสองปีเลือกชุดและเครื่องประดับนานถึงสองวัน เพราะคิดว่างานนี้ตนจะต้องโดดเด่นมากที่สุดจนทำให้แม่ทัพหลิ่วหันมามองตนให้จงได้
“องค์หญิงใกล้จะได้เวลาแล้วเพคะ”
“รู้แล้ว ๆ ไปกัน”
ขบวนเสด็จองค์หญิงอ้ายเหม่ยยาวเฟ้ย มีบรรดาบ่าวเดินถือของขวัญที่จะมอบให้กับแม่ทัพหนุ่มเป็นทิวแถวเป็นที่สะดุดตาของบรรดาขุนนางไม่น้อย ซึ่งทำเอาฮองเฮากับฝ่าบาทถึงกับปวดหัวเลยทีเดียว
ตัวหลักของงานนี้อย่างหลิ่วตงหยางเองก็สนใจตอบคำถามเพียงฝ่าบาทและองค์รัชทายาทเท่านั้น ไม่แม้แต่จะชายตามองผู้มาใหม่ที่จงใจทำให้ตัวเองโดดเด่นแม้แต่นิด
