บทที่ 10
พระราชวัง
แม่ทัพหลิ่วตงหยางในชุดเกราะสีดำทมิฬ ใบหน้าคมเรียบเฉยหนวดเครายาวเพราะไม่ได้ดูแลตัวเองหลังจากกรำทำศึกนานหลายเดือน สายตาคมเรียวเล็กมองตรงไปข้างหน้าไม่สนใจใคร เดินนำทหารจำนวนหนึ่งเข้ามาในท้องพระโรง คนที่อยู่ก่อนหน้ารู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามของเขาได้เป็นอย่างดี
“ฝ่าบาทข้าน้อยหลิ่วตงหยาง กลับมาแล้วพะย่ะค่ะ”
ร่างแกร่งทำความเคารพฝ่าบาทที่นั่งอยู่บนบัลลังก์พร้อม ๆ กับนายกองทหารที่ตามตนมา หลังจากที่ออกไปทำศึกตรึงกำลังทางตะวันออกของเมืองตามพระบัญชาเป็นเวลากว่าสามเดือน
“ดี ๆ เจ้าทำหน้าที่ได้ดีมากแม่ทัพหลิ่ว ที่ผ่านมาไม่ว่าศึกไหนที่ข้ามอบหมายให้เจ้าไปรบ เจ้าก็เอาชนะกลับมาทุกครั้ง
ช่างน่าชื่นชมจริง ๆ เพราะฉะนั้นข้าได้ปรึกษากับเหล่าขุนนางแล้ว ก็ขอมอบป้ายอาญาสิทธิ์เคลื่อนพลทหารหนึ่งพันนายให้เจ้า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ร่างแกร่งในชุดเกราะยื่นมือเข้าไปรับป้ายอาญาสิทธิ์จากมหาดเล็ก ก่อนจะทำความเคารพฝ่าบาทอีกครั้ง
ข่าวการที่แม่ทัพหลิ่วได้รับรางวัลเป็นป้ายอาญาสิทธิ์ในการเคลื่อนพลทหารหนึ่งพันนายแพร่กระจายไปทั่ววังหลวงยิ่งสร้างความน่าเกรงขามและอำนาจให้กับชายหนุ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก
“องค์หญิงแม่ทัพหลิ่วกลับมาแล้วพะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอ้ายเหม่ยละสายตาจากบรรดาปิ่นปักผมตรงหน้าหันไปมองท่านตาของตัวเองด้วยความดีใจ หัวใจเต้นแรงลิงโลดเมื่อได้ยินชื่อของอีกฝ่าย
“จริงหรือท่านตา”
“จริงพะย่ะค่ะ ครานี้แม่ทัพหลิ่วสร้างผลงานชิ้นโบแดง ฝ่าบาทประทานป้ายอาญาสิทธิ์เคลื่อนพลทหารหนึ่งพันนายให้ด้วย”
เตียวหลิ่วซาเสนาบดีกรมโยธาร่ายยาวเรื่องของแม่ทัพหนุ่มให้หลานสาวของตนที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงฟังอย่างไม่ปิดบัง ด้วยตัวเขานั้นรู้ดีว่าหลานสาวของตนนั้นหมายปองแม่ทัพหลิ่วมาแน่ไหนแต่ไร
หากว่าจับพลัดจับผลูได้หลิ่วตงหยางมาเป็นหลานเขยจริง ๆ แล้วละก็อำนาจในมือของเขาและองค์หญิงก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วยอย่างแน่นอน งานนี้มีแต่ได้กับได้ชายแก่จึงพยายามวางแผนให้องค์หญิงนั้นได้แต่งงานกับแม่ทัพหลิ่วให้ได้
“เจ้าเก็บปิ่นพวกนี้ซะ ข้าจะไปหาแม่ทัพหลิ่วสักหน่อย”
“เพคะองค์หญิง”
หญิงสาวรีบผุดลุกไปยืนหน้ากระจก ดูเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองอีกครั้งก่อนจะรีบเดินออกจากตำหนักเพื่อไปพบชายหนุ่มที่เธอเราเขากลับมานานหลายเดือน
องค์หญิงอ้ายเหม่ยธิดาคนแรกของฝ่าบาทกับพระสนมเอก ใบหน้าสะสวย เครื่องแต่งกายหรูหรา ด้วยความที่เป็นธิดาองค์แรกของฝ่าบาททำให้ทุกคนต่างรุมล้อมเอาใจมาตั้งแต่เด็ก องค์หญิงจึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ร่างบางขึ้นเกี้ยวออกจากตำหนักตรงไปที่จวนแม่ทัพหลิ่วทันทีที่รู้ข่าวว่าชายหนุ่มกลับมาแล้ว แม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มฝนใกล้จะลงเม็ดเพียงใดเธอก็ไม่หวั่น เธอหมายปองเขามานาน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเย็นชาใส่เธอไม่สนใจเธอมากแค่ไหนเธอก็ไม่มีวันถอดใจ เพราะยิ่งเขาหนีเธอมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งอยากได้ตัวและหัวใจเขามาครอบครองมากเท่านั้น!
หลิ่วตงหยางที่กลับมายังจวนสกุลหลิ่วซึ่งได้รับพระราชทานจากฝ่าบาทเมื่อครั้งทำศึกใหญ่เมื่อห้าปีก่อน จัดการตัวเอง อาบน้ำ โกนหนวดเคราที่ยาวรุงรังให้เรียบร้อย ก่อนจะแต่งตัวในชุดลำลองตรงออกไปที่วัดเพื่อไหว้พระ แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังการไปไหว้พระที่วัดกลางเมืองนั้น ซึ่งเป็นเพราะเขานั้นได้นัดหมายกับลูกน้องที่ออกไปสืบเรื่องการทุจริตของกรมโยธาต่างหาก
ร่างสูงของหลิ่วตงหยางเดินออกมาจากวัด เท้าแกร่งก้าวไปตามทางเดินที่ถูกปูด้วยแผ่นหินดูสวยงามเรื่อย ๆ สองข้างทางเป็นรั้วไม้ที่ทาทับด้วยสีแดงตลอดแนว แต่แล้วจังหวะนั้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็เริ่มมีหยดน้ำหล่นลงมา
