บทที่ 9 คุณชายผู้มีอารมณ์แปรปรวน
รุ่งเช้าวันนั้น รถม้าคันหรูของตระกูลหานเคลื่อนออกจากประตูเมืองตั้งแต่ฟ้ายังสาง ภายในรถม้านั้น มีหานเจวี๋ยเหิงนั่งอ่านตำราอย่างสงบ ส่วนอีกมุมอิงหลัวในชุดเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้านกำลังเบิกตาโตมองนอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้น ราวเด็กได้ออกเที่ยวครั้งแรกในชีวิต
“ท่านอู๋ๆ นั่นที่เขาตากอะไรอยู่หรือ ทำไมเป็นแผ่นบางๆ สีเหลือง?”
อู๋เหลือบมองแล้วยิ้มบาง “นั่นใช้ทำยาบำรุงเลือด สตรีนิยมกันนัก”
“แล้วต้นที่มีดอกม่วงข้างนั้นเล่า เป็นโสมหรือไม่ ทำไมไม่เหมือนที่ข้าเคยเห็นเลย?”
“ฮ่าๆ โสมแบบนั้นยังไม่แก่พอครับ ต้องปลูกอีกสองปี”
เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วในรถม้าทำเอาคุณชายรองที่พยายามอ่านตำราเริ่มหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด นิ้วเรียวเคาะหน้าตักเบาๆ ก่อนจะปิดหนังสือดัง ปั่ก!
“ผู้ช่วยอู๋”
“ขอรับ?”
“ออกไปนั่งข้างคนขับ ดูทางให้ดี”
อู๋งงจนตาโต “เอ่อ…แต่สารถีเขาก็รู้อยู่แล้วนี่ขอรับ”
“หรืออยากให้ข้าโยนเจ้าลงไปแทน”
“มิกล้าขอรับ!”
ผู้ช่วยอู๋รีบเปิดม่านรถหนีไปอย่างไว ทิ้งบรรยากาศในรถให้เงียบลงฉับพลัน อิงหลัวกะพริบตาปริบ ๆ ไม่กล้าพูดต่อ ก้มหน้าเล่นชายแขนเสื้ออย่างเกรงๆ พออยู่กันสองคนแล้วนางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างไรไม่รู้
หานเจวี๋ยเหิงหันมองผ่านหางตา เห็นสีหน้าซื่อๆ ของนางแล้วกลับรู้สึก…อึดอัดประหลาด อยู่ดี ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น
“... โสมพวกนั้นต้องปลูกในดินเย็นชื้น รากจะได้ซอนดี หากปลูกผิดจะขมราคาตก”
อิวหลิวที่ได้ฟังก็เงยหน้ามองอย่างงงๆ “อ๋อ...เช่นนั้นเองรึเจ้าคะ”
“และแผ่นเหลือง ๆ นั่น ต้องตากในร่ม ห้ามโดนแดดจัด มิฉะนั้นยาจะเสียฤทธิ์”
เขาพูดเสียงเรียบแต่กลับอธิบายยาวยิ่งกว่าผู้ช่วยอู๋เมื่อครู่เสียอีก อิงหลัวพยักหน้าตาเป็นประกายเปลี่ยนไปแล้ว
“บ่าวจะจำไว้เจ้าค่ะ คุณชายรู้มากจริง ๆ!”
“…”
เขาเบือนหน้าออกหน้าต่างทันที รู้สึกคอแห้งเฉียบพลันทั้งที่อากาศยามเช้าเย็นสบาย ตลอดทางหลังจากนั้นนางเปิดปากถามอันใดก็จะได้รับคำตอบจากเจ้านายมากความรู้เสมอ จนถึงทุ่งสมุนไพรในการครอบครองของเขา
แดดยามสายอบอุ่นทอดผ่านแนวไม้เรียงราย สวนสมุนไพรเขียวชอุ่มทอดยาวสุดสายตา หานเจวี๋ยเหิงเดินนำคณะอย่างองอาจ สีหน้าขรึมราวรูปปั้นหยก คนดูแลสวนพูดรายงานเสียงสั่นไม่กล้ามองหน้า แต่ดูเหมือนคุณชายรองจะไม่ได้ยินสักคำ เพราะหูเขาเอาแต่จับเสียงหัวเราะเบา ๆ จากด้านหลังเข้าเสียแล้ว
“ผู้ช่วยอู๋ นี่ต้นอะไรหรือเจ้าคะ ใบมันเหมือนพัดเลย!”
“นั่นต้นโสมเจ็ดปีครับ แพงพอ ๆ กับทอง!”
“จริงรึ! ถ้าข้าปลูกเองคงรวยแน่!”
“ฮ่า ๆ ถ้าท่านปลูกเอง ข้าขอเป็นลูกค้าคนแรกเลยขอรับ!”
เสียงหัวเราะสองคนนั้นดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนหานเจวี๋ยเหิงที่ถือรายงานในมือถึงกับกำแน่นอย่างรู้สึกรำคาญ เขาเดินต่อโดยพยายามไม่สนใจ แต่ในหัวกลับพร่ำบ่นราวหม้อต้มน้ำเดือด
หัวเราะอะไรนักหนา เสียงเหมือนนกกระจอกจ้อไม่หยุด! ผู้ช่วยอู๋ก็ด้วย เขาจ้างมาให้คุยเรื่องงานไม่ใช่เกี๊ยวพาสตรี !
ถึงตรงแปลงสมุนไพรถัดไป คนดูแลสวนรายงานเสียงสั่นยิ่งกว่าเดิมเพราะจากสีหน้าเจ้านายดูไม่พอใจนัก
“ตรงนี้เป็นสมุนไพรที่ใกล้เก็บเกี่ยวขอรับ พันธุ์ดีที่สุดในเมืองหลวง”
“อืม”
เขาตอบสั้นจบการสนทนา แล้วเหลือบหางตามองข้างหลังอีกครั้ง แน่นอน สองคนนั้นยังคุยกันไม่หยุด
“ว้าย!”
อิงหลัวที่มัวดูต้นไม้สะดุดหินจะล้มจนได้! ผู้ช่วยอู๋คว้าแขนไว้ได้ทัน แต่ภาพนั้นกลับสะกิดอะไรบางอย่างในอกของคุณชายรองจนเลือดขึ้นหน้าอย่างสุดจะทนเสียแล้ว
“ผู้ช่วยอู๋!”
เสียงทุ้มเย็นเฉียบตวาดขึ้นจนคนทั้งสวนสะดุ้ง โดยเฉพาะเจ้าของนามที่ถึงกับรับปล่อยมือออกแทบไม่ทัน
“ขะ ข้าขออภัยขอรับ!”
อิงหลัวที่ยังงงหันไปมอง “บ่าวเกือบล้มเท่านั้น ท่านจะเสียงดังไปทำไมกันเจ้าคะ”
“เจ้าก็เดินไม่ดูทางแล้วมีหน้ามาให้คนอื่นแตะต้องอีก”
“บ่าวไม่ได้ตั้งใจ...ก็แค่สะดุด--”
“คราวหน้าก็ไม่ต้องมาอีก!”
เขาพูดตัดบทหน้าตาเฉยแล้วเดินนำไปโดยไม่หันกลับและไม่รอใครเสียแล้ว ส่วนผู้ช่วยอู๋ก็ได้แต่ยืนหน้าซีด เหงื่อซึม ราวกำลังรู้ชะตากรรมของตัวเอง ...
วันนี้เองกลับถึงจวนได้ไม่นาน อิงหลัวยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือกินข้าวสักคำ บ่าวของฮูหยินรองก็เข้ามาแจ้งว่านางถูกเรียกให้ไปพบก่อนแล้ว
อิงหลัวถอนหายใจหนัก เดินตามไปทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นดินจากสวนสมุนไพร เมื่อไปถึงเรือนใหญ่ บ่าวให้นางยืนรอหน้ามุขหน้าด้านอ้างว่า ฮูหยินยังกินมื้อเย็นอยู่ให้รอหน่อย... จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป ในที่สุดประตูห้องอาหารก็เปิดบ่าวจากข้างในเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างอ้อยอิ่ง
“เข้ามาเถอะ”
อิงหลัวรีบก้มตัวเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าที่ด้านหน้าเจ้านายคนเดียวในห้อง “ฮูหยินรองมีสิ่งใดจะรับสั่งเจ้าคะ”
“พรุ่งนี้กลางวัน ข้าอยากให้เจ้าเชิญอาเหิงให้ไปกินข้าวที่ภัตตาคารเหล่าจื๊อกับข้า”
เสียงพูดนั้นเรียบง่าย ทว่าแฝงอำนาจชัดเจน
นางกะพริบตาปริบ “ให้ข้า...เป็นคนเชิญหรือเจ้าคะ?”
“ใช่ ทำอย่างไรก็ได้ ให้เขาไปให้ได้”
“บ่าวถามได้หรือไม่เจ้าคะ เหตุใดฮูหยินถึงไม่เอ่ยปากชวนเอง” ทำไมต้องให้นางมาชวนด้วย หรือเหตุผลเพราะเรื่องนั้นกันนะ...
“ไม่ต้องถามให้มากความ...” ฮูหยินรองวางผ้าเช็ดปากลงโต๊ะเสียงเบา “ข้าเพียงอยากเลี้ยงข้าวบุตรชายตนเองแต่เขาเอาแต่หลบหน้าข้า จำเป็นต้องอธิบายให้มากด้วยหรือ?”
อิงหลัวเงียบไปครู่หนึ่งในใจคิดว่าที่บุตรชายของนางเองไม่อยากพบก็เพราะตัวหล่อนเองมิใช่หรือที่ไปบังคับให้เขามีสตรีข้างกาย สุดท้ายถึงต้องมาลำบากนางนี่ไง นางคงต้องหาทางปฏิเสธนั่นแหละ เฮ้อ แต่ต่อหน้าคงต้องรับปากไปก่อนอย่างไรนางหรือจะทำให้คุณชายรองผู้เห็นแก่งานไปกินอาหารที่ภัตตาคารได้
“บ่าวจะทำสุดความสามารถเจ้าค่ะ”
“ดี อ้อ อีกอย่าง อย่าได้บอกเขาว่าข้าเป็นคนสั่งเล่า ข้าอยากทำให้เขาประหลาดใจ เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ...”
ฮูหยินรองหลี่เหลือบตามองเป็นคราสุดท้ายเต็มไปด้วยความกดดัน “หากเจ้าทำไม่สำเร็จ... ข้าคงต้องหาทางเตือนให้เจ้าจำหน้าที่ของตนให้ดีกว่านี้”
น้ำเสียงอ่อนหวานแต่ความเย็นเฉียบแทรกในถ้อยคำนั้นทำให้อิงหลัวขนลุกวาบทันใด
เมื่อออกจากเรือนใหญ่ นางเดินเหม่อจนลืมแทบเส้นทางกลับ นางถอนหายใจยาวตลอดทางไม่รู้ว่าควรจัดการกับปัญหาที่เพิ่งได้รับมาอย่างไรดี...
