บทที่ 8 ชาที่จวนข้ายังไม่ดีพอกระมัง
ภายในห้องทำงานยามค่ำ หานเจวี๋ยเหิงก้มหน้าเขียนบัญชี ส่วนหลินอิงหลัวนั่งเงียบ ๆ ฝนหมึกอยู่มุมโต๊ะตามหน้าที่ไม่ต่างจากเดิม
ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงของเจ้าของห้องก็ดังขึ้นโดยไม่เงยหน้า “วันนี้เจ้าออกไปข้างนอก...เป็นอย่างไรบ้าง”
อิงหลัวสะดุ้งเล็กน้อย รีบตั้งสติกับคำถามที่ไม่คิดว่าเขาจะถาม “ก็ดี...แค่ไปเดินเล่นเจ้าค่ะ เปลี่ยนบรรยากาศ”
“เดินเล่น?” น้ำเสียงเขาราบเรียบ แต่แฝงความหมายบางอย่าง “เช่นนั้นก็ไม่ควรกลับมาดึกขนาดนั้น เจ้าคิดหรือว่าไม่เป็นที่พูดถึง”
นางหลุบตา รู้ทันทีว่าเขาหมายถึงชื่อเสียงของตน
“บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ คราวหน้า...จะกลับให้เร็วกว่านี้”
เขาวางพู่กันลงเงียบ ๆ เหลือบตามองนาง สายตาคมดุจมีดไล่สำรวจทุกอากัปกิริยา ก่อนย่นคิ้วเบา ๆ
“คราวหน้า?” เขาทวนเสียงเรียบ “แปลว่าเจ้าตั้งใจจะมีอีกงั้นหรือ”
อิงหลัวเงยหน้ามองเขาอย่างระวัง “บ่าว...ก็อาจจะมีธุระอีกบ้างเจ้าค่ะ แต่จะระวังให้มากไม่ให้คนเอาไปพูดถึงไม่ดี”
เขาไม่พูดต่อ เพียงพ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วก้มลงทำงานต่อเหมือนไม่ใส่ใจ แต่บรรยากาศในห้องกลับเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
จนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย อิงหลัวก็วางพู่กันลง ค้อมศีรษะเบา ๆ “หากไม่มีสิ่งใดเพิ่มเติม บ่าวขอตัวกลับเรือนนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง”
นางชะงัก “เจ้าคะ?”
หานเจวี๋ยเหิงยังคงเขียนต่อ ไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ต่อไปนี้ เจ้าจะนอนที่เรือนนี้”
“ที่...นี่?” นางตาโต ใบหน้าร้อนผ่าวทันที “ท่านหมายถึง”
เขาเงยหน้าขึ้น จ้องนางด้วยสายตาเรียบเฉย “อย่าคิดมาก ข้าไม่ได้พิศวาสเจ้า เพียงแต่หากมารดาข้ามาอีก จะได้ไม่สงสัย”
นางอ้าปากค้าง ก่อนจะกัดริมฝีปากเดินตามเชไปที่ห้องนอนของเขา ในเต้นระส่ำกับการที่อยู่ดีดีก็ได้นอนห้องเดียวกับบุรุษหน้าตาดี ให้นางได้เตรียมใจหน่อยก็ไม่ได้
“เจ้าจะนอนตรงตั่งเล็กนั่น” เขาพยักพเยิดไปทางมุมห้อง “ห่างพอสมควร ข้าคงไม่ต้องย้ำเรื่องกฎระหว่างเรา”
อิงหลัวเม้มปากแน่น สูดลมหายใจยาวก่อนตอบ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ช่วยข้าถอดชุดหน่อย”
ก่อนค้อมตัวลงตรงหน้าเขาเพื่อช่วยปลดชุดคลุมออกตามหน้าที่ กลิ่นชาอ่อน ๆ จากมือของนางแตะปลายจมูกเขาแผ่วเบา แปลกที่เขาไม่รู้สึกรังเกียจกลิ่นสตรีเช่นเคย แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าด้วยซ้ำ
“ยกแขนหน่อยเจ้าค่ะ”
เสียงนางนุ่มชัดเพราะอยู่ใกล้กันมาก อิงหลัวค่อย ๆ แกะกระดุมทีละเม็ด พยายามไม่สบตาอีกฝ่ายกลัวหัวใจที่เต้นแรงจนตัวเองยังได้ยินจะไปถึงหูเขา
หานเจวี๋ยเหิงยืนนิ่ง ให้นางจัดการโดยไม่เอ่ยอะไร ดวงตาคมเหลือบมองเส้นผมดำที่เลื่อนมาปรกแก้มนางเล็กน้อย แสงตะเกียงสะท้อนผิวเนื้อซีดจัดของนางให้ดูนุ่มละมุนอย่างประหลาด
“พอแล้ว” เขาพูดเรียบ ๆ พยายามตัดบรรยากาศแปลกประหลาดนั้นออกไปจากใจเขา
อิงหลัวรีบถอยห่างไปดับตะเกียง แล้วเอาผ้าห่มไปปูที่ตั่งของตนโดยไม่เหลียวกลับมาอีก
คืนนี้หานเจวี๋ยเหิงพลิกตัวไปมาหลายรอบ ท่ามกลางความมืด ความเงียบของห้องกลับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของอีกคน เขาไม่ชอบให้ใครร่วมห้องแต่คืนนี้กลับรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
สายตาคมเหลือบมองไปยังมุมหน้าต่างที่ตั่งเล็กตั้งอยู่ อิงหลัวนอนขดตัวเล็กอยู่ตรงนั้นเอง ใบหน้างามหลับตาเงียบสงบใต้แสงจันทร์ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา ผ้าห่มผืนบางเลิกขึ้นถึงแค่เอว ร่างบางนั้นดูเหมือนจะหนาว นางขยับตัวเล็กน้อยแต่ไม่ตื่นมาห่มผ้าให้ตัวเอง
ไม่รู้จักห่มให้ดี ๆ หรืออย่างไร... เขาพึมพำในใจ หงุดหงิดกับความคิดของตนเองเสียมากกว่า ก่อนจะสะบัดผ้าห่มของตนออก เดินเข้าไปเงียบ ๆ แล้วคลี่ห่มให้นางอย่างเบาที่สุด กลัวนางจะสะดุ้งตื่น
เมื่อผ้าห่มคลุมถึงบ่า นางขยับตัวเล็กน้อย ใบหน้าซบเข้ากับหมอนพลางพึมพำเสียงแผ่ว
“…อุ่นจัง”
เขาชะงัก คิ้วกระตุกน้อย ๆ ก่อนจะถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
อุ่นเพราะเขาห่มให้หรอก... มัวแต่หาเงินแต่ไม่ดูแลตนเอง น่าขันสิ้นดี
เขากลับไปนอนที่เตียงอีกครั้ง บอกตัวเองว่าที่ทำไปไม่ได้เพราะห่วงนาง แค่ไม่อยากให้บ่าวคนสนิทป่วยเป็นภาระเท่านั้น แต่ยิ่งพยายามไม่คิด เสียงลมหายใจแผ่วเบาของนางกลับยิ่งดังในหู จังหวะนั้นเองที่หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
หลายวันมานี้ อิงหลัวใช้เวลาทุกช่วงที่คุณชายรองไม่อยู่จวนไปดูร้านชาที่ตนร่วมทุนไว้ ร้านกำลังตกแต่งใหม่ นางออกแบบให้ดูสะอาดโปร่งตา มีม้านั่งไม้ เตาอุ่นชา และมุมชิมชาเล็ก ๆ ที่นางคิดขึ้นจากไอเดียคาเฟ่ในโลกเดิมของตน ร้านจะไม่ใช่แค่ที่ดื่มชา แต่เป็นที่พักใจสำหรับคนค้าขายที่เหนื่อยล้าในแต่ละวัน
นางทุ่มเททุกหยดแรง พอกลับมาปรนนิบัติคุณชายรองยามค่ำก็แทบหมดเรี่ยวแรง ขณะฝนหมึกให้อยู่ด้านข้าง กายเอนพิงโต๊ะ สัปหงกหัวจะทิ่มลงในแท่นหมึกหลายครั้งจนคนที่ตั้งใจตรวจบัญชีเริ่มหมดสมาธิ
ครั้งสุดท้ายหัวอิงหลัวเกือบจะจุ่มหมึก เขารีบยื่นมือรับไว้mน
“เฮ้อ...” เสียงกระทบของฝ่ามือกับแท่นไม้ดังเบา ๆ
อิงหลัวสะดุ้งตื่น “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ! มือท่านเปื้อนไหม?” นางคว้าเศษผ้าจะเช็ด เขาเกือบจะชักมือกลับตามนิสัย แต่พอเห็นแววหน้าจริงใจของนาง กลับนิ่งให้เช็ดอยู่อย่างนั้น
“ช่วงนี้เจ้าดูเหนื่อยนัก ไปทำสิ่งใดมาหรือ?” เขาถามเรียบ ๆ
นางยิ้มอาย ๆ “ข้ารับงานเพิ่มเจ้าค่ะ เหนื่อยนิดหน่อยแต่ได้เงินเพิ่ม”
คิ้วเขาขมวด “เงินเดือนข้าให้น้อยหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ แค่...อยากเก็บเงินไว้ก่อน อนาคตจะได้ไม่ลำบาก”
คำพูดนั้นฟังดูง่ายแต่แทงเข้าใจกลางอกเขา อนาคตของนาง...ที่ไม่มีข้าอย่างนั้นหรือ เขาชักมือกลับทันที เสียงเย็นลงกว่าเดิมชัดเจน
“หึ คราหน้าถ้าเหนื่อยจนหลับคาแท่นหมึกอีก ข้าจะหักเงิน วันนี้เจ้าไปนอนก่อนเถอะ”
อิงหลัวสะดุ้งรีบคำนับแล้วถอยออกจากห้อง ทิ้งไว้เพียงกลิ่นชาหอมจางในอากาศdบความรู้สึกสงสัยที่ค้างคาในใจของคนในห้อง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปที่ใดมาในช่วงนี้”
อู๋ขมวดคิ้วครุ่นคิด “เห็นว่าไปชอบเข้าร้านชาขอรับ แล้วก็ส่วนใหญ่จะแวะร้านชาทั่วเมืองหลวงด้วย แต่ข้าน้อยไม่รู้ว่านางทำอันใด”
“ร้านชาหรือ?” เขาทวนเสียงต่ำ “ชาที่จวนข้ายังไม่ดีพอกระมัง”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเรียบ ๆ “พรุ่งนี้คัดชาทุกรส ทั้งชาดี ชากลาง และชารับรองแขก...ส่งไปให้ที่เรือนนางทั้งหมด”
อู๋ถึงกับตาโต “เอ่อ...ขอรับ!”
