บทที่ 10 จ่ายคืนด้วยราคาที่ไม่อยากเสีย
ในห้องหนังสือยามค่ำ แสงตะเกียงอ่อนโยนสะท้อนแผ่นหลังของหานเจวี๋ยเหิงที่ยังนั่งเขียนเอกสารไม่หยุด อิงหลัวเดินเข้ามาเงียบ ๆ ตามหน้าที่ ฝนหมึกให้เขาอย่างทุกคืน แต่คืนนี้กลับเงียบกว่าทุกวันจนเขารู้สึกผิดสังเกต
“เหตุใดเงียบปานนั้น” เขาเอ่ยโดยไม่เงยหน้า “หรือวันนี้เหนื่อย?”
อิงหลัวที่เหม่อคิดหนักสะดุ้งเล็กน้อยก่อนรีบตอบ “ไม่เจ้าค่ะ แค่มีเรื่องให้คิดเล็กน้อย”
“เรื่องใด?”
“...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” นางรีบก้มหน้ากลัวว่าเผลอพูดออกไปแล้วจะเดือดร้อนทั้งตัว
แต่สายตาคมของหานเจวี๋ยเหิงเหลือบมองนางอยู่อย่างนั้น เขาเห็นสีหน้านิ่งผิดปกติ ยิ่งเห็นนางถอนหายใจยาวก็ยิ่งหงุดหงิด
ทำให้เขาไม่เป็นอันทำอะไรเพราะเห็นใครบางคนทำหน้าซึมอยู่ได้...
“อิงหลัว” เขาเรียกเสียงทุ้ม “หากมีเรื่องให้พูด ก็บอกมา ข้าไม่ชอบให้คนรอบตัวมีความลับกับข้า”
นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเล็กน้อยก่อนสูดลมหายใจเข้าอึกใหญ่ ในเมื่อมีโอกาสก็ลองก่อนแล้วกันเผื่อฟลุค
“คุณชายรอง... พรุ่งนี้ช่วงกลางวันมีธุระหรือไม่เจ้าคะ?”
เขาขมวดคิ้ว “ถามทำไม?”
“ข้าน้อย... เพียงอยากชวนท่านไปกินข้าวที่ภัตตาคารเหล่าจื๊อเจ้าค่ะ เห็นว่าอาหารที่นั่นขึ้นชื่อในเมือง ข้าคิดว่าท่านทำงานหนัก ควรได้ผ่อนคลายบ้าง...”
คำพูดนั้นอ้อมค้อมเสียจนหานเจวี๋ยเหิงรู้ทันทันทีว่า ต้องไม่ใช่แค่นางอยากให้เขาพัก แต่อาจมีเหตุผลอื่นเช่น นางอาจจะอยากอยู่สองคนหรือกินข้าวกับเขา...
พอเขามองใบหน้านั้นที่พยายามทำทีเป็นไม่สนใจ ทั้งที่ในดวงตาแอบมีแววคาดหวัง เขากลับรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาอย่างประหลาด
“ได้สิ”
เขาตอบเรียบ ๆ พลางจุ่มพู่กันต่อราวไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดแต่คนรับฟังนั้นถึงกับอ้าปากค้าง “จริงหรือเจ้าคะ... คุณชายจะไปหรือเจ้าคะ”
“พรุ่งนี้ไปก็ได้ ข้าไม่มีธุระพอดี”
อิงหลัวยิ้มกว้างทันที ความเครียดหายวับราวไม่เคยมีมาก่อนทำเอาคนที่ช่วยแก้ปัญหาให้นางเห็นสีหน้าดีใจของนาง กลับรู้สึกแปลก ๆ ในอกอย่างไม่เข้าใจตนเอง
ตามจริงเขามีนัดเจรจากับพ่อค้าต่างเมือง... แต่ช่างเถอะ ให้ผู้ช่วยอู๋ไปเลื่อนก็แล้วกัน
รุ่งเช้าวันถัดมา หานเจวี๋ยเหิงแต่งตัวอย่างประณีตกว่าทุกวัน เสื้อคลุมดำขลิบเงินรีดเรียบ ข้อมือพับขึ้นอย่างพิถีพิถันจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังกล้าแซวในใจว่า
“วันนี้คงเป็นวันไม่ธรรมดาของคุณชายรองเป็นแน่”
ทว่าเจวี๋ยเหิงนั้นยามเมื่อเดินมาหน้าจวนกลับไม่เห็นหลินอิงหลัวรออยู่อย่างที่คิดไว้ บ่าวคนสนิทยื่นหน้าออกมารายงานเสียงสุภาพอย่างรู้งานทันที
“อนุหลินฝากบอกให้คุณชายรองไปก่อนขอรับ เดี๋ยวนางจะตามไปทีหลัง”
เพียงเท่านั้น ริมฝีปากที่มักนิ่งเรียบของเขาก็คล้ายจะยกขึ้นน้อย ๆ อารมณ์บางเบาแทรกเข้ามาอย่างห้ามไม่ได้ เขาเดาว่านางคงจะไปเตรียมบางอย่างพิเศษรอเขาสินะ คิดได้ดังนั้นก็ขึ้นรถม้าด้วยอารมณ์แจ่มใสกว่าปกติ
ไม่นานก็ถึงภัตตาคารเหล่าจื๊อ เสี่ยวเอ้อรีบออกมาต้อนรับอย่างนอบน้อม “คุณชายรองเชิญขอรับ มีคนจองห้องไว้แล้ว”
เขาพยักหน้า ไม่ได้ระแคะระคายแม้แต่น้อยว่ามีบางอย่างผิดแผก เดินตามไปอย่างสง่าด้วยจิตใจที่แปลกละคนอ่อนโยน... จนกระทั่งประตูบานนั้นถูกเปิดออก
แสงแดดอ่อนยามเที่ยงสะท้อนเข้ามาเผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนนั่งเด่นอยู่กลางห้อง ฮูหยินหลี่ มารดาของเขา พร้อมสตรีอาภรณ์สีครามที่รีบลุกขึ้นค้อมศีรษะ ยิ้มอาย ๆ ราวกับนกน้อยที่รอให้เขาเอ็นดู
โลกทั้งใบของหานเจวี๋ยเหิงเงียบกริบในพริบตา รอยยิ้มจางหาย เหลือเพียงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากแววตา
“มานั่งก่อนสิลูก แม่แค่คิดถึงเจ้า อยากกินข้าวด้วยกันหน่อยเท่านั้น”
ฮูหยินหลี่เอ่ยอ่อนหวาน
หานเจวี๋ยเหิงไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว ดวงตาคมกริบกวาดมองรอบห้อง ไม่มีหลินอิงหลัวอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้น หัวใจที่เมื่อครู่ยังเบาเหมือนลอยกลับแน่นขึ้นในอก ความรู้สึกโกรธประหลาดผุดขึ้นรวดเร็ว เขาไม่ได้โกรธมารดา...แต่โกรธคนที่ กล้าหลอกเขาให้มานั่งในกับดักเช่นนี้
“แม่อยากให้เจ้ารู้จักคุณหนูจากตระกูลหลิวน่ะ นางเป็นหญิงเรียบร้อยน่ารักมากทีเดียว--”
เสียงนั้นยังไม่ทันจบ หานเจวี๋ยก็หมุนตัวออกจากห้องทันที โดยไม่เอ่ยแม้คำล่ำลา ร่างสูงเดินพรวดผ่านเสี่ยวเอ้อที่ตกใจเงยหน้าไม่ทันถาม ท่าทีเขาเย็นเยียบจนคนทั้งภัตตาคารไม่กล้าหายใจแรง
ระหว่างเดินทางกลับจวน ความโกรธผสมความผิดหวังตีรวนอยู่ในอก เขาเชื่อใจนาง มอบหน้าที่จัดการเรื่องพวกนี้ให้ แต่นางกลับกล้าลากเขาเข้าสู่หมากของมารดาด้วยตัวเองหรือ
หลินอิงหลัว...เจ้าจะเล่นแบบนี้กับข้าอย่างนั้นหรือ
ริมฝีปากเรียบเฉียบเม้มแน่น ก่อนเปล่งเสียงต่ำในลำคอ “กล้าดีนัก...”
หานเจวี๋ยเหิงหัวเราะเย็นในลำคอ “ดี...กล้าก็อย่าคิดหนี ข้าจะให้เจ้ารู้เสียบ้าง ว่าเมื่อเล่นกระดานกับพ่อค้า ต้องจ่ายคืนด้วยราคาที่เจ้าไม่อยากเสีย”
