บทที่ 7 หนทางรวยใหม่ๆของอนุในนาม
“เจ้ากำลังทำอะไร”
อิงหลัวสะดุ้งสุดตัวเงยหน้าขึ้นเห็นหานเจวี๋ยเหิงยืนพิงกรอบประตู แขนไขว้หน้าอก ดวงตาคมทอดมองมาพร้อมรอยยิ้มบางที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร
“ค-คุณชายรอง บ่าวไม่ได้ตั้งใจจะ...” นางรีบยกมือไหว้ “บ่าวเพียง...เบื่อเลยหยิบมาดูเล่น ๆ เท่านั้นเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาเงียบจนกระทั่งเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าว่าตารางอะไรนะ”
อิงหลัวรีบหันมาถามอย่างสงสัยทันใด “อะ…ตารางหรือเจ้าคะ?”
“ใช่ เจ้าบอกว่าถ้าจัดเป็นตารางจะดูง่ายกว่า ข้าอยากรู้ว่ามันคืออันใด”
“มันก็แค่…รูปแบบการจัดบัญชีเจ้าค่ะ แยกช่องรายรับ รายจ่าย รวมยอดท้ายแถว ดูปุ๊บเข้าใจปั๊บ ไม่ต้องไล่อ่านทุกบรรทัดให้เมื่อยตาเช่นนี้”
หานเจวี๋ยเหิงขมวดคิ้ว “แยกช่อง แยกยอด?”
“เจ้าค่ะ อย่างนี้” นางคว้ากระดาษแผ่นหนึ่งมาวาดสาธิต ใช้พู่กันขีดเป็นช่อง ๆ “ช่องนี้รายรับ ช่องนี้รายจ่าย ส่วนบรรทัดล่างรวมยอด เห็นไหมเจ้าคะ แค่เรียงใหม่ก็ดูง่ายขึ้นเยอะ”
เขามองเงียบ ๆ แววตาคมครุ่นคิด ก่อนพึมพำ “ดูจะเป็นระเบียบกว่าวิธีของข้าจริง ๆ” แล้วหันกลับมามองนาง “เขียนให้ข้าดูทั้งหมดทีสิ ว่าต้องจัดอย่างไร”
อิงหลัวกลั้นยิ้ม ในหัวคิดแผนหาเงินบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว
นางยิ้มมุมปากก่อนจะหยุดมือที่กำลังวาด ๆ “เอ่อ…สูตรแบบนี้ทำไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเจ้าคะ ต้องใช้เวลาเรียงตัวเลขใหม่ทั้งเล่ม แรงกายแรงใจไม่น้อยเลยกว่าจะคิดออกมาได้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะเหมาะสม”
หานเจวี๋ยเหิงเอนหลังพิงกรอบประตูอย่างผ่อนคายอีกรอบ ยกคิ้วมองมาที่อิงหลัวอย่างรู้ทัน “เจ้าต้องการอะไร ว่ามาเถอะ”
“ค่าตอบแทนเจ้าค่ะ” นางตอบหน้าตาย “สิบตำลึงทอง”
เขาเลิกคิ้วทันที “สิบตำลึง? เจ้าคิดจะปล้นข้าเรอะ”
“ปล้นหรือไม่ปล้นก็แล้วแต่ท่านจะมองเจ้าค่ะ” นางยักคิ้ว “แต่เวลาที่ท่านได้คืนไปจากการไม่ต้องใช้เวลามากในการตรวจบัญชีทุกคืน…คุ้มกว่าสิบตำลึงทองแน่นอน”
หานเจวี๋ยเหิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ข้าเหมือนจะเสียรู้เจ้าอีกแล้ว”
“คุณชายคิดมากไปเจ้าค่ะ ข้าก็คนทำมาหากินธรรมดา ๆที่หวังดีต่อท่านเท่านั้น”
เขามองหญิงสาวที่ยืนเชิดหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ แววตาเรียบเย็นกลับแฝงรอยสนใจ “ตกลง แต่ข้าจะทำสัญญา หากเจ้าทำให้ข้าเสียเวลาแทนที่จะได้เวลา เจ้าต้องคืนทองข้าสองเท่า”
“ข้ารับข้อเสนอเจ้าค่ะ” นางยิ้มหวานพลางยื่นมือออก “ขอสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย”
ชายหนุ่มหลุบตา เห็นแววความเจ้าเล่ห์ในรอยยิ้มของนางก็หัวเราะหึ “สมกับเป็นคนหน้าเงินจริง ๆ”
“ขอบพระคุณที่ชมเจ้าค่ะ”
หลังลงนามกันเรียบร้อย เขาเก็บกระดาษเข้ากล่องแล้วเอ่ยเรียบ ๆ ให้นางกลับไปพักได้ส่วนเขาเองอยู่ทำงานต่อ
ช่วงหลังมานี้ หลินอิงหลัวเลื่อนจากอนุไร้ตัวตนมาเป็น เงาของคุณชายรองหานเต็มตัว
ตอนอยู่จวนนางจัดบัญชีตามรูปแบบใหม่ที่คิดค้นให้เขา ส่วนเวลานอกเรือนก็ต้องติดตามเขาไปตรวจร้าน ตรวจโกดัง หรือเจรจาการค้าที่ท่าเรือ เห็นเขาพูดเพียงไม่กี่คำแต่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ นางถึงได้เข้าใจว่าความมั่งคั่งของเขาไม่ใช่โชค แต่เป็นความเฉียบคมของคนที่มองทุกอย่างเป็นการลงทุน
วันหนึ่งผู้ช่วยอู๋นำห่อผ้ามาให้นาง
“คุณชายรองให้ข้านำชุดนี้มาขอรับ ให้อนุหลินไว้ใส่เวลาออกไปกับคุณชาย จะได้ไม่สะดุดตา”
นางเปิดดูเห็นเป็นชุดบุรุษผ้าดีถึงสองชุด
“เนื้อผ้าดีเกินจำเป็นเลยนะเจ้าคะ เอาไปขายคงได้ตั้งหลายตำลึง คราวหน้าให้เงินข้ามาตัดเองดีกว่า จะได้ไม่รบกวน”
ผู้ช่วยอู๋กลั้นหัวเราะ “ท่านคิดไม่เหมือนสตรีอื่นจริง ๆ”
ช่วงนี้ชีวิตนางทั้งเหนื่อยทั้งสนุก ได้เห็นโลกการค้าของหานเจวี๋ยเหิงทุกมุม ตอนนี้เงินก็มีอยู่ก้อนหนึ่งแล้ว ความรู้ก็พอมีบ้างแล้ว วันหนึ่งในห้องทำงาน อิงหลัวจึงเอ่ยขออนุญาตเจ้านายในสัญญาของตน
“คุณชายรองเจ้าคะ วันพรุ่งนี้บ่าวขอลาหยุดหนึ่ง มีธุระส่วนตัวเจ้าค่ะ”
เจวี๋ยเหิงไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ “อืม ได้”
นางยิ้มจาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
เวลาผ่านไปอีกชั่วครู่เขาก็กลับพูดต่ออย่างเฉยชาไม่ต่างจากเดิม “คราวหน้า หากจะลาหรือทำสิ่งใด ไม่ต้องบอกข้า ไปแจ้งอู๋แทนก็พอ”
อิงหลัวชะงัก กะพริบตาปริบ ๆ มองเขาที่ยังคงก้มหน้ากับกระดาษ เขานี่ช่างเย็นชาเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งบนภูเขาเหนือจริง ๆ
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวจะจำไว้”
แล้วเดินออกจากห้องอย่างเงียบงันพยายามไม่คิดมากไปทว่าหัวใจกลับไม่สงบเอาเสียเลย ไม่รู้ว่ากำลังโกรธในความเฉยชาของเขา หรือแค่หงุดหงิดที่ชายผู้นั้นไม่คิดมากเลยสักนิดกันแน่
เช้าวันถัดมา หลินอิงหลัวปลอมตัวเป็นบุรุษเต็มรูปแบบ สวมชุดที่ตัดเองจากผ้าฝ้ายเนื้อดีปานกลาง สีเรียบแต่สะอาดสะอ้าน ผมถูกรวบขึ้นเป็นมวยต่ำตามแบบคุณชายชาวเมือง
นางเดินทอดน่องในตลาดกลางเมือง เพื่อหาลู่ทางทำการค้า การทำงานกินเงินเดือนอย่างเดียวคงไม่มีวันรวย ต้องหาทางให้เงินทำงานแทนนางสิ ถึงจะไปจากจวนหานได้เร็วขึ้น
เดินสำรวจอยู่ครึ่งวัน ตั้งแต่ร้านผ้า ร้านเครื่องหอม จนถึงร้านขนมหวาน แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเตะตา จนกระทั่งเท้าพานมาหยุดที่เขตท่าเรือ เสียงคลื่นเบา ๆ และกลิ่นชาอ่อน ๆ ทำให้นึกถึงร้านน้ำชาที่ตนเคยนั่งพักบ่อยครั้ง
แต่ครานี้หน้าร้านกลับแขวนป้าย “ประกาศขายกิจการ”
“ขายงั้นหรือ…” นางขมวดคิ้ว เดินเข้าไปข้างใน พบเจ้าของร้านชายวัยกลางคนกำลังจัดของเก็บด้วยสีหน้าเศร้า ๆ
“คุณชายเชิญเข้ามาเลยขอรับ อีกไม่กี่วันร้านนี้คงปิดถาวรแล้ว” เขาพูดเสียงขื่นแต่ก็ต้อนรับลูกค้าอย่างดี
อิงหลัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งด้วยความสนใจ “เหตุใดถึงขายเล่า รสชาที่นี่ดีไม่แพ้โรงน้ำชาใหญ่ ๆ เลย ขายไม่ดีหรือ?”
ชายเจ้าของร้านถอนหายใจยาวก่อนเอ่ยตอบ
“มิใช่ไม่อยากเปิดต่อหรอกขอรับ แต่บุตรของข้าล้มป่วย ต้องนำเงินหมุนของร้านไปจ่ายค่าหมอ ตอนนี้ไม่มีทุนต่อยอด ขืนเปิดต่อก็คงไม่มีชาขายขอรับ”
อิงหลัวนิ่งไปครู่หนึ่ง มองรอบร้านที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่มีรสนิยม ที่นี่ทำเลไม่ถึงกับดีแต่ก็ไม่เลว อยู่มุมถนนใกล้เส้นทางขนส่งหลัก แม้ไม่คึกคักแต่คนที่มักผ่านล้วนเป็นพ่อค้าฐานะดี
นางคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ต้นทุนไม่สูงมาก ถ้ามีการตลาดดี ๆ เพื่อรายการน้ำชาสักหน่อย ทำป้ายชัดกว่านี้… กำไรเห็น ๆแน่
นางยกถ้วยชาที่เจ้าของร้านเพิ่งชงให้ขึ้นจิบ ละเมียดรสขมปลายหวานแล้ววางลงยิ้มบาง
“หากข้าจะไม่ให้ท่านขายล่ะ แต่ร่วมลงทุนแทนเป็นไง?”
ชายเจ้าของร้านชะงัก “คุณชายหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าลงเงิน ส่วนท่านบริหารเหมือนเดิม ข้าแค่ขอดูบัญชีและมีสิทธิ์ปรับกลยุทธ์การขายบ้าง” นางพูดเสียงนิ่ง แต่แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ท่านมีฝีมือเรื่องชา ข้ามีหัวการค้า ถ้าร่วมมือกัน ร้านนี้ไม่เพียงอยู่ได้...แต่อาจกลายเป็นน้ำชาชื่อดังของเมืองนี้ก็ได้”
ชายเจ้าของร้านนิ่งคิด ก่อนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น “ท่านจะลงทุนเท่าใดขอรับ”
“พอให้ท่านตั้งหลักได้ ข้าไม่บีบเรื่องส่วนแบ่ง กำไรแบ่งครึ่งพอ”
คำพูดนั้นทำให้ชายเจ้าของร้านมองนางอย่างทึ่ง “คุณชายช่างใจกว้างจริง ๆ”
อิงหลัวหัวเราะเบา “ไม่ต้องชม ข้าเพียงเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้ามเท่านั้นเอง”
ในใจนางแอบยิ้ม นี่ล่ะ ก้าวแรกของข้าที่จะรวยด้วยมือของตัวเอง... ไม่ต้องพึ่งคุณชายเลือดเย็นคนนั้นอีกต่อไป
