บทที่ 6 นางถูกคนขอไปเป็นนางบำเรอ
“นั่นผู้ช่วยคนใหม่ของท่านหรือ?”
เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ เขาคือ เปิ่นซื่อ พ่อค้าชาจากเมืองใต้ ผู้มีชื่อเสียงทั้งในด้านสินค้าและนิสัยปากไว
เจวี๋ยเหิงหันกลับมา ยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนตอบเรียบ ๆ
“หญิงคนนั้นหรือ... แค่คนจดบันทึกชั่วคราว”
“แปลกนะ” เปิ่นซื่อหัวเราะลั่น “ไม่เคยเห็นท่านให้สตรีเข้ามาในงานการค้าแบบนี้ ข้าเองยังไม่กล้า พวกสตรีมักใจอ่อน เอะอะก็ร้องไห้เสียเวลา”
เจวี๋ยเหิงยกยิ้มบาง “ถ้าเป็นสตรีที่ใช้หัวมากกว่าน้ำตา ก็ไม่เสียเวลาเท่าไรนัก”
คำพูดเรียบแต่เฉือนลึกจนอีกฝ่ายสะอึกไปวูบหนึ่ง ก่อนหัวเราะกลบเกลื่อน
“ฮ่า ๆ ๆ จริงสิจริง! แต่ก็อดสงสัยไม่ได้...มองแล้วก็น่าเสียดายนัก ใบหน้าก็งดงามเย้ายวน หุ่นก็เข้าที...”
สายตาของเปิ่นซื่อเหลือบมองไปทางอิงหลัวที่กำลังยกตะกร้าสมุนไพรขึ้นบันทึกน้ำหนัก ดวงตาเต็มไปด้วยความโลภแบบชายราคะที่ไม่อาจปิดบัง “บอกตามตรง ข้าเห็นแล้วถูกใจ หากคุณชายรองหานไม่หวง ข้าอยากขอยืมตัวไปเชยชมสักคืน” เขาหัวเราะหื่น “ท่านขายให้ข้าคืนเดียว ข้าลดราคาชาให้สิบถังยังได้ ฮ่า ฮ่า... ดูสะโพกอวบ ๆ นั่นสิ หากตีคงจะ--”
ปัง!
เสียงถ้วยชากระแทกโต๊ะดังลั่นจนชายรอบข้างสะดุ้งเฮือก ชาที่ยังร้อนกระเด็นเลอะโต๊ะสีงาช้าง เจวี๋ยเหิงเงยหน้าช้า ๆ ดวงตาเย็นเฉียบแต่ไม่มีแววโกรธจัด มีเพียงแรงกดดันที่ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
พ่อค้าชาวใต้ถึงกับหน้าเสียเพราะคิดว่าเขาคงโมโหเสียแล้วรีบก้มศีรษะ “ข้าพูดเล่น ๆ เท่านั้น อย่าถือสาเลยคุณชายรองหาน”
แต่เจวี๋ยเหิงไม่ฟังเขาหันไปมองอีกฝั่งของโกดัง เรียกเสียงเข้ม “หลินอิงหลัว”
หญิงสาวที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ตรวจเช็คกล่องสมุนไพรสะดุ้ง รีบหันมา
“เจ้าคะ?”
“มานี่” เสียงเขาหนักแน่น
อิงหลัวชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากเจวี๋ยเหิง “เปิ่นซื่อบอกว่าอยากได้เจ้าไปเป็นนางบำเรอของเขา เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
น้ำเสียงเรียบแต่เฉียบราวคมดาบ ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย
อิงหลัวอ้าปากค้าง ใบหน้าชาในพริบตา นี่เขาพูดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไร! แต่ยังไม่ทันเอ่ย เปิ่นซื่อก็หัวเราะหื่นอย่างชอบใจเพราะการที่อีกฝ่ายบอกเช่นนี้ก็มีโอกาสที่เขาจะรับข้อเสนอของเขาแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ข้าเพียงชมเจ้าเฉย ๆ ว่าท่าทางพริ้งเพรานัก หากได้อยู่ข้างกายคงเพลินตาไม่น้อยก็เท่านั้น คุณชายรองหานคิดจริงจังไปเสียแล้ว”
อิงหลัวสูดหายใจลึกพยายามข่มอารมณ์โกรธที่แล่นวูบในอกเรื่องที่ตอนนี้นางถูกเอามาต่อรองอย่างกับสิ่งของก็ไม่ปาน
“ข้าน้อยขอบคุณท่านเปิ่นที่กรุณาชมเจ้าค่ะ” นางเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “แต่ข้าน้อยคงมิอาจตัดสินใจเองได้ เรื่องนี้คงต้องแล้วแต่เจ้านายของข้าน้อยจะเห็นสมควร...”
นางหันมามองเจวี๋ยเหิง ดวงตาฉายแววเฉียบแหลมขึ้น “เพียงแต่” เสียงของนางอ่อนลงแต่เฉียบในที “ข้าน้อยเชื่อว่าคุณชายรองคงไม่ถึงขั้นไร้หนทางจนต้องขายลูกน้องของตน... ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
บรรยากาศที่เดิมคล้ายล้อเล่นพลันเงียบกริบ เปิ่นซื่อหน้าเจื่อนไป ส่วนหานเจวี๋ยเหิงเหลือบตาขึ้นมองหญิงตรงหน้า นางยืนอยู่ตรงนั้นหลังเหยียดตรง แววตาแน่วนิ่ง แต่ในน้ำเสียงมีทั้งความเคารพและการขีดเส้นให้ชัดว่า ข้าไม่ใช่ของที่ใครจะซื้อขายได้ง่าย ๆ ให้เขารับรู้ก่อนตัดสินใจรับข้อเสนอหรือไม่ไป
เจวี๋ยเหิงยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนวางลงช้า ๆ
“ได้ยินหรือไม่ เปิ่นซื่อ” น้ำเสียงเยือกเย็นแต่หนักแน่น “นางปากดีเพียงนี้ข้อเสนอของเจ้าหาได้คุ้มค่าพอจะแลกไม่”
เปิ่นซื่อรีบหัวเราะแห้ง “ฮะฮ่า นั่นสิ อย่าถือสาเลยคุณชายรองเรื่องเมื่อครู่ก็ทำเหมือนไม่เคยพูดก็แล้วกัน”
“หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าคงต้องไปก่อน...” เจวี๋ยเหิงลุกขึ้นหมุนกายจากไปแล้ว
“ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ”
อิงหลัวก้มศีรษะให้คู่ค้าบ้ากาม ก่อนจะรีบเดินตามเจ้านายของตนที่เดินนำหน้าไปอย่างสงบ ใจยังเต้นแรงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่คลาย
นางแอบมองแผ่นหลังกว้างของเขา แล้วหลุบตาลง สูดลมหายใจยาว นางกำมือแน่นความรู้สึกอึดอัดทำให้นางกลืนน้ำลายก่อนตัดสินใจเอ่ยถามคนที่นำหน้าอยู่ในที่สุด
“คุณชายรองเจ้าคะ บ่าวมีเรื่องขอถามอะไรได้ไหมเจ้าคะ?”
เขาไม่หน้ามาแค่ส่งเสียงรับในลำคอ
“หากเมื่อครู่...ท่านเปิ่นซื่อยืนยันจะเอาข้าไปจริง ๆ” นางเว้นจังหวะ “ท่านจะมอบข้าให้เขาหรือไม่เจ้าคะ”
มือที่กำม้วนกระดาษของเขาชะงักเล็กน้อย ก่อนหมุนกายมองตรง ดวงตาคมเฉียบสะท้อนเงาหน้าอิงหลัวที่พยายามเก็บสีหน้าไว้แต่แววตากลับซ่อนความคาดหวังไว้ไม่มิด
“ถามทำไม?” เสียงทุ้มเรียบแต่เฉียบ
อิงหลัวหลบสายตา “ข้า...แค่อยากรู้เจ้าค่ะ”
เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนตอบสั้น ๆ “ในการค้าขาย ทุกสิ่งล้วนเป็นการแลกเปลี่ยน ต้องดูว่าคุ้มค่าหรือไม่” เขาพูดช้าแต่ชัด “หากสิ่งที่ได้ตอบแทนมากพอ ข้าก็ย่อมเลือกสิ่งที่ให้ผลกำไรสูงสุด ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม”
คำพูดนั้นเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง อิงหลัวหัวเราะแผ่วในลำคอ “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ในใจนางรู้คำตอบดี ที่เขาไม่ส่งนางให้เปิ่นซื่อเมื่อครู่ ไม่ใช่เพราะเห็นคุณค่าในตัวนาง แต่เพราะข้อเสนอของอีกฝ่ายยังไม่คุ้มพอต่างหาก
อิงหลัวสูดลมหายใจลึกเพื่อกลืนก้อนบางอย่างลงคอ ความเงียบกลับเข้าปกคลุมอีกครั้ง หานเจวี๋ยเหิงเดินต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กลางดึกคืนหนึ่ง เสียงฝนหมึกแผ่วเบาในยามค่ำเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ขับกล่อมความเงียบในห้องหนังสือของคุณชายรองหานเจวี๋ยเหิง อิงหลัวนั่งอยู่มุมโต๊ะ มือคอยฝนน้ำหมึกให้เขาไม่ขาด ระยะหลังมานี้นางคุ้นกับภาพชายหนุ่มในอาภรณ์ดำปักเงินที่นั่งตรงแน่วอยู่หลังโต๊ะบัญชี ดวงตาคมกริบไม่ยอมละจากตัวเลขแม้เพียงชั่วอึดใจแล้วแต่เมื่อครู่เขาออกไปข้างนอกบัดนี้ภายในห้องจึงเหลือเพียงอิงหลัวเพียงผู้เดียว
นางถอนหายใจยาว นังมองกระดาษบัญชีที่กองสูงบนโต๊ะตรงหน้า พลันความอยากรู้อยากเห็นในสายเลือดนักบัญชีเก่าก็สั่นไหวขึ้นมา
“เขียนบัญชีแบบนี้ทั้งชีวิตไม่ตาลายก็บุญแล้ว...”
นางพึมพำขณะโน้มตัวดูตัวเลขเรียงพรืดตรงหน้า
นางไล่นิ้วตามกระดาษแล้วขมวดคิ้ว
“ตรงนี้ไม่จัดกลุ่ม รายรับรายจ่ายปนกันหมด ถ้าทำเป็นตารางสักหน่อยคงดี อ๊ะ ลืมสิ... ที่นี่ไม่มี Excel นี่นา” นางหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะก้มพินิจอีกหน้าหนึ่ง “นี่อะไร ซ้ำช่อง นับผิดแน่ ๆ แบบนี้ตรวจทานกันตาย...”
เสียงหัวเราะของนางแผ่วเบา แต่เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นข้างหลังอย่างนิ่งเย็น
“เจ้ากำลังทำอะไร”
