บทที่ 5 ห้ามผู้ถูกจ้างหลงรักผู้ว่าจ้างโดยเด็ดขาด
หลายวันต่อมา ตอนเช้าในเรือนเล็กของหลินอิงหลัวเงียบสงบเหมือนทุกวัน จนกระทั่งเสียงเคาะประตูสามครั้งดังขึ้นเป็นจังหวะพอดิบพอดี
“อนุหลิน ข้านำของจากคุณชายรองมาส่งขอรับ”
ผู้ช่วยอู๋ยืนอยู่ตรงหน้าประตู มือถือห่อหนังสือหนาหนักวางลงบนโต๊ะ อิงหลัวขมวดคิ้ว “อะไรน่ะ?”
“หนังสือสัญญา ว่าจ้างอย่างเป็นทางการ” เขาตอบเรียบ ๆ “คุณชายรองให้ข้าเอามาให้อ่านก่อนลงนาม ถ้าพอใจเงื่อนไขก็เขียนชื่อได้เลย”
อิงหลัวเปิดออกดู เห็นกระดาษหลายสิบแผ่นเรียงแน่นราวกับสัญญาซื้อขายเรือสินค้า ดวงตาไล่จากบรรทัดแรกลงไปเรื่อย ๆ เงื่อนไขเรียงยาวจนแทบเวียนหัว
ข้อแรกว่า “ผู้ว่าจ้าง (หานเจวี๋ยเหิง) มีสิทธิ์สั่งการทุกอย่างในระหว่างอยู่ในจวน ผู้ถูกจ้าง (หลินอิงหลัว) ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามทุกกรณี”
ข้อสอง “หน้าที่หลักของผู้ถูกจ้างคือรับมือกับมารดาผู้ว่าจ้าง ป้องกันไม่ให้สตรีใดถูกส่งมาเป็นอนุเพิ่ม”
ข้อสาม “หากผู้ถูกจ้างละเมิดคำสั่งหรือทำให้เสียผลประโยชน์ ผู้ว่าจ้างมีสิทธิ์เรียกค่าปรับสามเท่าของค่าจ้างรวมทั้งหมด”
อิงหลัวพึมพำในลำคอ “นี่มันสัญญาจ้างงาน หรือสัญญาขายวิญญาณกันแน่…”
แต่พอพลิกถึงหน้าสุดท้าย สายตาก็สะดุดเข้ากับประโยคที่เขียนตัวโตกว่าข้ออื่น
“ห้ามผู้ถูกจ้างหลงรักผู้ว่าจ้างโดยเด็ดขาด เพราะผู้ว่าจ้างไม่มีวันรักตอบ”
หลินอิงหลัวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหลุดหัวเราะเบา ๆ “หลงตัวเองเสียจริง ข้ายังไม่คิดจะเอาท่านมาเป็นสามีสักหน่อย”
นางวางกระดาษลง พึมพำพลางหัวเราะในลำคอ แต่ค่าจ้างก็สมน้ำสมเนื้อดี... เดือนละสิบห้าตำลึง แถมยังมีโบนัสหากทำให้มารดาท่านเชื่อได้ นางจะไม่ลงนามได้อย่างไร
เพียงแต่นางสะดุดใจกับข้อที่ว่า ต้องเชื่อฟังทุกคำสั่งของเขา คิ้วเรียวย่นเล็กน้อย “คำสั่งทุกเรื่อง... นี่รวมถึงบนเตียงด้วยหรือไม่เนี่ย?”
แต่พอคิดถึงใบหน้าเย็นชาที่เหมือนจะรังเกียจสตรีอย่างเขา ก็ถอนหายใจ “ดูท่าคงไม่ถึงขั้นนั้น ขืนท่านแตะต้องข้าคงเป็นลมเสียก่อน ฮะฮ่า”
คิดถึงตรงนี้แล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เอาเถอะ อย่างน้อยถ้าอดทนทำครบปี นางก็จะมีเงินก้อนตั้งตัวได้
หลินอิงหลัวหยิบพู่กันขึ้น แต่ก่อนจะลงนามกลับวางมันลงอีกครั้ง “ข้าขอเพิ่มอีกข้อ”
ผู้ช่วยอู๋ที่ยืนรอฟังข้าง ๆ รีบเงยหน้า “ข้อใดหรือขอรับ?”
“ข้าขอสิทธิ์ออกนอกจวนได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากคุณชายรอง”
ผู้ช่วยอู๋มองหน้านางอย่างลังเล “เรื่องนี้ต้องเรียนถามคุณชายก่อนขอรับ”
“ได้เจ้าค่ะ” นางยิ้ม “ฝากไปด้วยนะ หากเขาไม่ตกลง ข้าก็ไม่ลงนาม”
ผู้ช่วยอู๋พยักหน้าแล้วรีบไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมคำตอบ
“คุณชายรองตรองดูแล้ว ท่านว่า... ถ้าเงื่อนไขที่ขอหากไม่ขัดกับหน้าที่ในสัญญา ก็ยินยอมขอรับ”
หลินอิงหลัวยิ้มออก “ดีมาก”
นางก้มลงเขียนชื่อบนกระดาษในที่สุด
เมื่อพู่กันละจากกระดาษ เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดจากริมฝีปาก “เรียบร้อย... สัญญาชีวิตใหม่ของข้าเริ่มต้นแล้ว”
หลินอิงหลัวทำงานตามหน้าที่อนุในนามได้ไม่กี่วัน ก็เริ่มเข้าใจว่าหน้าที่อนุในนามของตน แท้จริงแล้วเหนื่อยยิ่งกว่าขายของในไลฟ์สิบจ้าวรวมกันเสียอีก เพราะทุกครั้งที่มารดาของคุณชายรองเกิดอารมณ์หวั่นไหวเรื่องข่าวลือของลูกชาย คนที่ต้องถูกเรียกไปซักไซ้ทุกครั้งก็คือนาง
“เจ้ากับเจวี๋ยเหิง... ยังดีอยู่ใช่ไหม?”
เสียงหวานเย็นของฮูหยินรองดังขึ้นในห้องรับรองที่อบอวลด้วยกลิ่นชาสมุนไพร
หลินอิงหลัวพับมือคำนับเรียบร้อยก่อนยิ้มบาง “แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านแม่จะห่วงไปไย ข้าน้อยยังแทบไม่ได้พักหายใจเลยทุกคืน”
“จริงหรือ?” หลี่ซูเฟินเลิกคิ้วสงสัย “ข้าได้ยินพวกบ่าวเม้าท์ว่าท่านชายรองก็ยังคงไม่ออกจากห้องหนังสือ...”
อิงหลัวหัวเราะเบา ๆ ก่อนดึงแขนเสื้อขึ้นโชว์รอยแดงจ้ำที่แต่งแต้มด้วยฝีมือของนางเอกที่เตรียมไว้
“จะให้เขาออกจากห้องได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อเขา...ยุ่งกับข้าทั้งคืนจนข้าน้อยแทบเดินไม่ไหวแม้จะไปห้องนอน”
หลี่ซูเฟินพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “ดีแล้ว ๆ ข้าสบายใจขึ้นมาก เจ้าทำได้ดีมากหลินอิงหลัว” นางหันไปสั่งบ่าว “ไปหยิบยาสมุนไพรบำรุงเลือดให้อนุหลิน แล้วเอากำไลหยกวงนั้นให้ด้วย ถือเป็นของกำนัล”
หลินอิงหลัวค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมแต่ในใจยิ้มกว้าง กำไรวันละหนึ่งกำไล บอกแล้วไงว่างานนี้ข้ามีแต่ได้กับได้!
หลังได้รับรางวัล นางเดินกลับเรือนด้วยท่าทางร่าเริง ยามเปิดประตูเข้าห้องหนังสือก็พบว่า หานเจวี๋ยเหิง นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ กำลังเขียนบัญชีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาเหลือบตามองนางทันทีที่เดินเข้ามา
“เจ้าดูอารมณ์ดีนัก เห็นทีจะชอบงานที่ทำอยู่สินะ”
หลินอิงหลัวยิ้มสดใส “แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งได้ของดีจากฮูหยินรองมานี่เองเจ้าค่ะ”
หานเจวี๋ยเหิงยกคิ้ว “ข้าควรภูมิใจหรืออับอายดีที่เจ้าทำให้มารดาข้าเชื่อว่าข้าตะกละในสตรี”
“อย่างน้อยข่าวลือเรื่องท่านชอบบุรุษก็เงียบลงแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ” นางสวนทันที “ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ๆ”
เขาวางพู่กันลง หัวเราะในลำคอเบา ๆขณะมือก็ไม่หยุดเปิดหน้าหนังสือรายงาน “เจ้ามันไม่ต่างจากพ่อค้า เห็นทุกอย่างเป็นผลประโยชน์ยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
“แน่นอนสิเจ้าค่ะ ข้ารักเงินยิ่งกว่าชีวิต อย่างน้อยเงินไม่เคยหักหลังใครนี่นา”
เจวี๋ยเหิงพ่นลมหายใจสั้น ๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าอ่านหนังสือเขียนอักษรได้หรือไม่?”
อิวหลัวละความสนใจจากกำไลหยกก่อนพยักหน้าอย่างไม่คาดหวังอะไรมาก
“บ่ายนี้ เตรียมตัวไว้ เจ้าจะออกไปกับข้าที่ท่าเรือ”
นางตาโต “ข้าหรือเจ้าคะ?”
“ใช่ ผู้ช่วยอู๋ลากลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว เจ้าจะตามไปบันทึกบัญชีแทน”
“ให้ข้าไปติดตามงานการค้ากับท่านหรือ?” อิงหลัวพูดเสียงลั่น ดวงตาเปล่งประกายราวเห็นทอง “ข้ารับรองจะไม่พลาดแม้แต่ตัวเลขเดียว!”
หานเจวี๋ยเหิงส่ายหน้าเบา ๆ เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงลุกขึ้น สั่งบ่าวให้เตรียมรถม้า
ท่าเรือเมืองหานในยามบ่ายคลาคล่ำด้วยผู้คน เสียงโห่ร้องของจับกังขนถุงสินค้าและหีบสมุนไพรดังระงมปนกลิ่นเกลือทะเลและไอแดดจาง ๆ บนเรือสำเภาหลายลำที่เทียบท่า
หานเจวี๋ยเหิงในอาภรณ์สีเข้มยืนเด่นอยู่ท่ามกลางบริวาร ใบหน้าเรียบเฉยแต่สายตาคมกริบจับทุกความเคลื่อนไหวได้อย่างไม่พลาด เบื้องหลังเขาคือองครักษ์สองคนและหลินอิงหลัวที่สวมชุดบ่าวเรียบง่าย เดินตามเขาต้อย ๆ พร้อมสมุดบันทึกในมือ
ตั้งแต่ทำงานด้วยกันหลายวัน เจวี๋ยเหิงเริ่มสังเกตว่าหญิงผู้นี้ไม่เพียงปากไว หากแต่ขยัน ฉลาด และมีระเบียบ สมุดบัญชีที่นางจัดเรียงนั้นอ่านง่ายกว่าเอกสารของผู้ช่วยอู๋เสียอีก
เวลานี้อิงหลัวกำลังก้มหน้าจดตัวเลขจากคำสั่งของพ่อค้าอย่างขะมักเขม้น ผมข้างแก้มหล่นมาปรกแก้ม นางใช้นิ้วข้างหนึ่งดันกลับโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคมของเจวี๋ยเหิงจับมองอยู่ห่าง ๆ
“นั่นผู้ช่วยคนใหม่ของท่านหรือ?”
