บทที่ 4 บุรุษปากหมากับสตรีหน้าเงิน
“ใช้เล่ห์กลอันใด กล่อมมารดาข้าได้จนถึงขั้นส่งเจ้าไปนั่งอวดหน้าในงานเลี้ยงได้เช่นนั้น”
หลินอิงหลัวชะงัก “ข้า”
“อย่าเพิ่งแก้ตัว” เขาพูดต่ออย่างเรียบเฉยแต่ถ้อยคำบาดลึก “ข้าไม่สนว่าเจ้าทำอย่างไร แต่อย่าคิดจะปีนขึ้นสูงกว่านี้ ข้าไม่ต้องการอนุ ไม่ต้องการสตรีข้างกายใด ๆ ทั้งสิ้น”
นางเม้มปากแน่น ใบหน้าเริ่มขึ้นสีด้วยโทสะที่เก็บกดมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะท้องที่ว่างเปล่าจนแสบแล้วแสบอีก
“ท่านพูดจาเหมือนบ่าวอาสาไปเอง บ่าวถูกจับลากไปต่างหาก!”
“เจ้าก็อยู่เฉยไม่ได้หรือ?” เขาตอบกลับรวดเร็ว “คนที่ไม่อยากได้ย่อมไม่ขึ้นเตียงคนอื่นง่ายดายนักเช่นเมื่อคืนหรือ”
คำพูดนั้นเฉือนลึกจนในอกอิงหลัวร้อนวาบ นางเงียบไปอึดใจ ก่อนยกคางขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้แม้คนตรงหน้าจะเป็นเจ้านายก็ตาม
“ท่านพูดได้ง่ายนัก เพราะหากข้าไม่ทำตามที่เจ้านายเช่นพวกท่านสั่งก็คงถูกไล่ออกไปแล้ว หึ คงเพราะพวกท่านไม่เคยรู้ว่าชะตาสตรีที่ถูกไล่ออกจากจวนจะยากลำบากเพียงใด! เป็นเพราะเรื่องรบระหว่างท่านกับมารดาไม่ควรทำให้คนอื่นต้องซวยไปด้วยเช่นนี้”
นางหอบหายใจแรง รอยยิ้มเย้ยบนริมฝีปากซีด “ข้าเป็นเพียงอนุต่ำชั้น ถูกจับวางยาราวกับไม่ใช่คน คิดว่าข้าอยากเป็นเมียท่านนักหรือ? คิดว่าท่านหล่อแล้วข้าอยากนอนด้วยรึ?”
เสียงหัวเราะขื่นในลำคอ “เรื่องนั้นท่านทำเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย!”
ผู้ช่วยอู๋ที่ยืนข้าง ๆ หน้าซีดเผือดจนแทบสำลักอากาศ พระเจ้า...นางคนนี้กล้าจริง ๆ!
อิงหลัวหอบนิด ๆ หลังระบายทุกอย่างจบลง นางเพิ่งรู้ตัวว่าปากไวกว่าความคิดเสียแล้ว สีหน้าเริ่มซีดลงกว่าเดิมถนัดตา หากไม่เพราะอารมณ์โมโหหิวนางก็๕งไม่ปากดีเช่นเมื่อครู่แน่
“...บ่าว พูดมากไปสินะเจ้าค่ะ แหะ ๆ” นางพึมพำแผ่วหันหน้าไปทางอื่น
หานเจวี๋ยเหิงนิ่งเงียบอยู่นาน ดวงตาคมลึกมองนางอย่างคนกำลังวัดราคา เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ก่อนยกมือขึ้นตบเบา ๆ สองครั้ง
“พูดได้ดี” เสียงเขาเย็นแต่มีรอยยิ้มมุมปาก “ใจกล้าใช้ได้ เจ้ากล้าด่าข้าต่อหน้า ทั้งยังพูดถูกหลายข้อเสียด้วย”
นางมองเขาอย่างงงงัน
“แต่รู้หรือไม่” เขาโน้มตัวเล็กน้อย น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นนิ่งเยียบ “การพูดระบายอารมณ์อาจทำให้เจ้าสะใจ แต่หลังจากนั้น ชะตาเจ้าจะเป็นอย่างไรต่อ เจ้าคิดไว้หรือยัง?”
อิงหลัวนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนยิ้มบาง ๆ “ข้าคิดไว้แล้วเจ้าค่ะ อย่างน้อยข้าก็ได้พูดก่อนตายก็ดีกว่าตายทั้ง ๆ ที่อึดอัดคับข้องใจ”
เจวี๋ยเหิงชะงัก ดวงตาคมวาวขึ้นน้อย ๆ เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกสะกิดอะไรบางอย่างในใจ
ห้องหนังสือยังคงเงียบ แต่บรรยากาศไม่เหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว จากความตึงเครียดเริ่มกลายเป็นการประลองเชิงคมระหว่างชายหญิงสองคน
หลินอิงหลัวมองใบหน้าหล่อเย็นเฉียบตรงหน้า พลันถอนหายใจเฮือก นางรู้ดีว่าโอกาสรอดมีน้อย หากยังอยู่เฉยก็ต้องถูกขับออกจากจวนแน่
แต่จู่ ๆ นางกลับยกชายกระโปรง เดินตรงเข้าไปยืนหน้าตรงต่อหน้าโต๊ะทำงานของเขา ดวงตาฉายแววแน่วแน่แผนสำรองสุดท้ายต้องงัดออกมาให้หมด
“ข้ามีข้อเสนอเจ้าค่ะ ขอให้คุณชายช่วยฟังสักครู่”
หานเจวี๋ยเหิงเลิกคิ้วเล็กน้อย นิ่งไม่ขยับ “เจ้าจะเสนออะไรอีก ที่ด่าข้าเมื่อครู่ไม่พอหรือ”
“เรื่องนั้นถือว่าหมดแล้วเจ้าค่ะ” อิงหลัวตอบหน้าตาย “บ่าวรู้ว่าท่านรำคาญมารดาท่านที่คอยยัดเยียดสตรีให้ไม่หยุด ไหนจะเรื่องข่าวลือที่ท่านไม่ชอบสตรีอีก หากเป็นเช่นนั้น... เหตุใดไม่จ้างบ่าวไว้เล่าเจ้าคะ”
ปลายพู่กันของเขาหยุดนิ่งทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“บ่าวอาสารับหน้ามารดาท่านให้เอง และรับรองว่าข่าวลือไร้สาระพวกนั้นจะไม่กวนใจคุณชายรองให้เสียเวลาทำงานแน่นอนเจ้าค่ะ” นางพูดต่ออย่างมั่นใจ “ทุกคนจะคิดว่าท่านโปรดอนุเช่นข้าจนไม่ชายตาแลหญิงอื่น...”
คำพูดเรียบง่ายแต่เด็ดขาดจนผู้ช่วยอู๋พยักหน้าพอใจแทนเจ้านาย หานเจวี๋ยเหิงเอนพิงเก้าอี้ มือประสานกันอย่างพินิจ
“ทำเช่นนี้ เจ้าหวังอันใดตอบแทน” เขาคิดว่าว่าก็คงไม่พ้นหวังตำแหน่งอนุมากอำนาจนั่นแหละ
อิงหลัวยิ้มมุมปาก “เงินเจ้าค่ะ”
“หือ เท่าไร?”
“เดือนละยี่สิบตำลึง ตรงเวลาไม่เลื่อนจ่าย”
เขาหัวเราะในลำคอ “พูดราวข้าซื้อขายทำสัญญาเสียอย่างนั้น เจ้าวางราคาตัวเองไว้สูงไม่น้อย”
“ของดีต้องแพงเจ้าค่ะ” นางสวนทันที “หรือท่านอยากให้ข้าทำงานฟรี ทั้งที่ช่วยล้างชื่อเสียงให้ท่านหรือเจ้าคะ?”
หานเจวี๋ยเหิงมองนางนิ่ง ดวงตาคมวาวแผ่วราวนักพาณิชย์กำลังประเมินราคาสินค้า “ยี่สิบตำลึงมากเกินไป ครึ่งเดียวก็พอ ข้าไม่เห็นว่าหน้าที่เจ้าจะยากถึงเพียงนั้น”
“ครึ่งเดียวนั้นบ่าวคิดว่าคุณชายคงประเมินบ่าวต่ำไปเจ้าค่ะ” นางตอบทันควัน “บ่าวรับรองผลนะเจ้าคะว่ามารดาท่านจะเชื่อสนิท ถ้านางไม่หยุด บ่าวคืนเงินให้ครึ่งหนึ่งเลยดีไหมเจ้าคะ?”
เขาเลิกคิ้วกับข้อเสนอแบบพ่อค้าตัวจริงที่ไม่คาดคิดตรงหน้า “หึ... เจ้านี่มันน่าเงินไม่หยอกนะ”
“บ่าวยินดีรับคำชมเจ้าค่ะ รบกวนคุณชายร่างสัญญามาตามที่ท่านต้องการแล้วค่อยเรียกข้ามาลงนามก็ได้เจ้าค่ะ”
เจวี๋ยเหิงพยักหน้าน้อย ๆ “น่าสนใจ” เขาก้มลงจิบชา พลางเอ่ยอย่างเยือกเย็น “แต่ตามจริงเรื่องมารดาข้า ข้าก็จัดการเองได้ แต่เจ้าเสนอมาเช่นนี้ข้าจะตกลงเมื่อ... ค่าจ้างสิบตำลึงต่อเดือน”
อิงหลัวเม้มปากแน่นก่อนถอนหายใจพลูเพราะนั่นก็ตรงตามที่นางคาดไว้อยู่แล้ว
“เอาเถอะบ่าวลดราคาให้ สิบห้าตำลึง ต่ำกว่านี้ไม่รับแล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ริมฝีปากเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว “พ่อค้าหน้าเลือดไม่เบา...”
เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้าแทนการขับไล่ “กลับไปก่อน ข้าจะตัดสินใจภายหลังอีกที”
อิงหลัวก้มศีรษะ “ตามใจท่าน แต่ข้าหวังว่าเมื่อท่านคิดได้แล้วจะรีบส่งสัญญามานะเจ้าคะ”
พูดจบ นางหันหลังเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ทิ้งไว้เพียงกลิ่นดอกเหมยอ่อนและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของคุณชายรอง
หานเจวี๋ยเหิงมองตามหลังนางไป ก่อนหัวเราะแผ่วในลำคอ “ปากกล้าไม่แพ้ข้าเลยจริง ๆ...”
