บทที่ 3 เจ้าใช้เล่ห์กลอันใด
“เมื่อคืนเจ้าอยู่ที่ใด ทำอะไร”
อิงหลัวชะงักเล็กน้อยก่อนประสานมือคำนับ ตอบกลาง ๆ ด้วยรอยยิ้มบาง “ตอนแรกบ่าวอยู่ที่เรือนของคุณชายรองเจ้าค่ะ แต่ไม่นานหลังได้พบ...บ่าวก็มากลับมานอนที่เรือนของตน”
ห้องทั้งห้องเงียบลงชั่วอึดใจบรรยากาศขึงแน่น หงเหม่ยเหลือบมองนายหญิงของตนแล้วกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ส่วนซูเฟินนั้นดวงตากลับสว่างวาบขึ้น รอยยิ้มเรียวเล็กคลี่ช้า ๆ
“เช่นนั้นรึ...” เสียงลากยาวนุ่มละมุนแต่แฝงประกายพึงใจ “ดูท่าคืนก่อน...จะเป็นไปด้วยดีสินะ”
“เจ้าคะ?” อิงหลัวขมวดคิ้วงุนงง มองสตรีทั้งสองที่ส่งยิ้มบางประหลาดให้กันยิ้มที่ทำให้นางรู้สึกหนาวสั่นขึ้นกลางแสงเช้า
นี่พวกนางกำลังพูดเรื่องเดียวกับข้าหรือเปล่าเนี่ย...
ซูเฟินยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น ก่อนวางลงด้วยท่าทีสงบ
ไม่ต้องซักถามมากร่างที่เดินกระเผกกับสีหน้าสดชื่นนั่นก็เป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น” นางเอ่ยพลางยกพัดขึ้นแตะริมคางเบา “ข้าจะย้ายเจ้าไปอยู่เรือนของคุณชายรองเสียเลยเจ้าจะได้ปรนนิบัติให้ทั่วถึง ทั้งยามกลางวัน...และยามค่ำคืน”
“หือ?” อิงหลัวเบิกตาเล็กน้อย “ทั้งกลางวัน...ทั้งกลางคืนหรือเจ้าคะ?”
...นางได้อยู่ในจวนนี้ต่อได้ กินดีอยู่ดี ไม่ต้องหาบ้านใหม่ถือว่าเป็นโชค
“ขอบพระคุณฮูหยินรองเจ้าค่ะ”
นางตอบเร็ว รอยยิ้มสดใสอย่างคนเห็นผลกำไรตรงหน้า คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก ถึงจะถูกลากมาเล่นหมากกระดานของพวกท่าน แต่ถ้าได้ที่อยู่พร้อมเงินเดือนนางก็ไม่ถือ
อิงหลัวค้อมศีรษะเตรียมลาจาก แต่แล้วนึกขึ้นได้ “เอ่อ...แล้วเงินรายเดือนของบ่าว ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่เจ้าคะ”
หงเหม่ยสะอึกแทบสำลักหัวเราะ ส่วนซูเฟินกระพริบตาช้า ๆ ก่อนปรายมองหญิงตรงหน้า รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นสายตาเย็นปนขบขัน
“จะไม่ได้ได้อย่างไรกัน เจ้าก็ยังอยู่ในจวนมิใช่หรือ หากเจ้าทำหน้าที่ดี ข้าจะเพิ่มรางวัลให้อีกด้วย”
คำว่า รางวัล ทำให้นัยน์ตาอิงหลัวส่องประกายวูบ รอยยิ้มหวานฉายขึ้นแทบทันที
“เช่นนั้นบ่าวจะตั้งใจทำทุกหน้าที่ให้สุดความสามารถเลยเจ้าค่ะ!”
นางเผลอลุกเร็วเกินไป“โอ๊ย!” เสียงร้องหลุดเมื่อสะโพกเจ็บแปลบ หงเหม่ยรีบเข้าประคอง ส่วนซูเฟินเพียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ พัดใบหน้าช้า ๆ ด้วยท่าทีอิ่มใจยิ่งกว่าเดิม
“ไปพักเถิด อนุหลิน” เสียงนางหวานแต่แฝงคำสั่ง “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนย้ายของเจ้าไปเรือนรองอย่าให้ลูกข้าต้องเหนื่อยจัดการเองอีกล่ะ”
“เจ้าค่ะ” อิงหลัวค้อมศีรษะ เดินกระเผกออกจากห้องไปเงียบ ๆ
ทันทีที่ร่างนางลับตา เสียงหัวเราะคิกเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากปากหงเหม่ย
“ฮูหยินเจ้าคะ... ท่านดูสิ นางเดินแทบไม่ไหว คงปรนนิบัติคุณชายรองทั้งคืนแน่ ๆ”
ซูเฟินหัวเราะเบา พลางพัดหน้าอย่างพอใจเต็มที่
“อย่างน้อย... ข้าก็สบายใจได้เสียที ว่าลูกข้าคงไม่ใช่ชายตัดแขนเสื้อแล้วละ”
หลายวันให้หลัง
ลานหินหน้าใหญ่ของตระกูลหานคลาคล่ำไปด้วยบ่าวที่ขมีขมันเตรียมสำรับ กลิ่นอาหารหรูหราลอยคลุ้งผสมกลิ่นกำยานอ่อน ๆ จนบรรยากาศทั้งเรือนใหญ่เต็มไปด้วยความตึงเคร่ง
วันนี้คือ “วันมื้อรวมญาติ” ของตระกูลหาน แม้จะเรียกว่ามื้อกลางวัน แต่ความพิถีพิถันไม่ต่างจากงานเลี้ยงทางการ ทุกคนรู้ดีบนโต๊ะอาหารของตระกูลพ่อค้าใหญ่แห่งนี้
สิ่งที่บริการไม่ใช่แค่อาหาร...แต่คืออำนาจและผลประโยชน์ต่างหาก
หลี่ซูเฟิน ฮูหยินรองในชุดไหมสีเขียวหยก ก้าวนำอย่างสง่างาม ข้างกายคือ หลินอิงหลัว สวมอาภรณ์ครามอ่อนสะอาดตา ผมรวบเรียบเรียงอย่างประณีตพอดีงาม ไม่ข่มเจ้านาย แต่สะดุดตาพอให้คนมองจำได้
“วันนี้เป็นมื้อรวมญาติ อย่าทำให้ข้าเสียหน้า” เสียงเบาของหลี่ซูเฟินดังข้างหู ราบเรียบแต่เย็นเฉียบ
“เจ้ามีหน้าที่เพียงคอยรินน้ำ รับใช้ให้ดี เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
หลินอิงหลัวพยักหน้า สีหน้าสุภาพเรียบร้อย
ห้องโถงใหญ่ของตระกูลหานเต็มไปด้วยกลิ่นอาหารหรู แต่บรรยากาศกลับเย็นเฉียบกว่าห้องเจรจาการค้า หัวโต๊ะคือ หานหย่งเฉิง เจ้าตระกูล ผู้ชายใบหน้าเข้มขรึมราวสลักจากหิน ข้างกายมีอนุคนโปรด คอยรินสุราให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
ถัดมาคือ ฮูหยินใหญ่ซ่ง ภรรยาเอกผู้สูงศักดิ์ สวมอาภรณ์ปักทองแผ่ว นางยกชาขึ้นจิบก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงนุ่มแต่คมเหมือนคมมีด
“คุณชายรองของบ้านเรานี่ช่างมีวาสนา ทั้งได้รับความไว้วางใจจากท่านเจ้าตระกูล ทั้งยังได้ตำแหน่งทายาท แต่บุตรข้า กลับต้องไปเรียนต่างเมืองเสียอีก”
น้ำเสียงฟังเหมือนเอ่ยชม แต่ทุกคำคือการขุดบาดแผลของตนให้ใครบางคนเห็นใจ หลี่ซูเฟิน มารดาของเจวี๋ยเหิงเพียงยิ้มบางก่อนเอ่ยต่อ
“พี่หญิงก็อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าคะ ความสามารถเป็นของใครก็ของมัน จะพี่หรือน้องก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่สร้างกำไรให้ตระกูลได้มิใช่หรือ ท่านพี่”
“อืม” หานหย่งเฉิง เจ้าตระกูลเอ่ยตอบ
ฮูหยินใหญ่หัวเราะเบา ๆ “ข้าเพียงคิดว่าเจ้ารองจะทำงานจนไม่มีเวลาเท่านั้น เพียงเป็นห่วงเห็นว่าบุตรของข้าก็มีคู่หมั้นแล้ว เกรงว่าคุณชายรองจะไม่มีผู้สืบสายก่อนน้องก็เท่านั้น”
หานเจวี๋ยเหิงที่นั่งนิ่งมานานยกถ้วยชาขึ้นดื่มก่อนวางลงช้า ๆ มองหน้าคนพูดประเด็นของตนนิ่ง
“ข้าไม่เร่งแต่ง และไม่ต้องให้ผู้ใดห่วงแทน ตอนนี้ข้ามีเรื่องเส้นทางค้าทางตะวันตกที่ต้องดูแลอีกมาก...”
ฮูหยินใหญ่ซ่งหัวเราะขัดทันใด “โอ๊ย ข้าพูดถึงเรื่องชีวิต เจ้ายังพูดแต่เรื่องการค้าอีกหรือ ชาวเมืองถึงได้ลือว่าท่านชายรองหานของเรานั้น... ดูเป็นบุรุษไม่ชอบสตรี”
คำพูดอ่อนหวานแต่เจือพิษ หลี่ซูเฟินนั้นกำมือแน่นแต่ยังยิ้มอยู่
“ข่าวลือก็คือข่าวลือเจ้าค่ะ” นางหันไปเรียกเสียงใส “อิงหลัว เข้ามานี่สิ”
หลินอิงหลัวที่ยืนอยู่ด้านหลังสะดุ้ง รีบเดินออกมาอย่างงงงวย หลี่ซูเฟินยิ้มเรียบสีหน้านำเสนอเต็มที
“นี่คืออนุหลิน คนของอาเหิง ข้าให้มาปรนนิบัติทุกคืน ยังจะมีผู้ใดกล้าว่าลูกข้าชอบบุรุษอีกหรือ”
ทั้งห้องเงียบงัน หลินอิงหลัวค้างกลางทาง ใจเต้นตึก ๆ ทุกคืนหรือ... นางเพิ่งรู้พร้อมพวกท่านนี่แหละว่าสาเหตุที่ตนมาครานี้เพราะเพื่อการนี้!
นางฝืนยิ้ม ก้มศีรษะ “คะ... ข้าน้อย ยินดีที่ได้พบทุกท่านเจ้าค่ะ”
อนุคนโปรดของนายท่านใหญ่หัวเราะพลางพัดปิดปากทำลายบรรยากาศเย็นเยียบทันใด
“อนุหลินหรือข้าได้ยินมาสักพักแล้ว ช่างงดงามสมคำลือ เห็นทีกลางคืนคุณชายรองคงไม่ว่างเว้นแน่เจ้าค่ะ”
เจวี๋ยเหิงนิ่งเฉยไม่บ่งบอกว่าพอใจหรือไม่เงยหน้ามองอิงหลิวแวบเดียวก่อนพูดเสียงเรียบ
“ข้าไม่ยักคิดว่าอนุของท่านพ่อจะสายตากว้างไกลถึงจวนข้าเชียวหรือ?”
“อะ เอ่อ...”
ไม่เว้นแม้แต่อนุของผู้ใดคนทั้งโต๊ะชะงักค้างทว่าเป็นหลี่ซูเฟินรีบหัวเราะกลบทำลายบรรยากาศอึดอัดนั่นอย่างเหนื่อกว่า
“เอาเถอะ รับรู้กันพร้อมแล้วก็ควรดื่มด่ำกับความสุขวันนี้ดีกว่าไหมเจ้าคะ”
บรรยากาศเต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่นและเข่นฆ่าจบลงเมื่อเจ้าตระกูลเป็นฝ่ายเริ่มต้นคีบอาหารก่อน
หลินอิงหลัวได้แต่ก้มหน้า พยายามกลืนความกระอักกระอ่วนลงคอแทนอาหารมื้อนี้ยามเมื่อจบมื้อ นางเดินตามมารดาของสามีออกมาเงียบ ๆ ทว่ายังไม่ทันพ้นเฉลียง บ่าวหนุ่มของเจวี๋ยเหิงก็เข้ามาหาเสียก่อน
“อนุหลิน คุณชายรองให้มาตามขอรับ ให้ไปพบท่านที่ห้องหนังสือ”
หลินอิงหลัวนิ่งอึ้งไปครู่ “ตอนนี้เลยหรือ?”
นางคุยจนไส่จะกิ่วอยู่แล้ว...
“ขอรับ คุณชายรองรออยู่”
อิงหลัวสูดลมหายใจลึกอย่างทำใจ เห็นทีนางคงจะโดนด่าเรื่องเมื่อครู่แน่... จะด่าก็ด่าเถอะ อย่างน้อยนางขอกินอะไรสักอย่างก่อนไปไม่ได้หรือไร!
นางยกชายกระโปรง เดินตามบ่าวของคุณชายรองไปยังเรือนตะวันออก ใจครุ่นคิดไม่หยุดจนกระทั่งเท้าเหยียบพื้นดีของห้องหนังสือเรือนตะวันออกที่เงียบสนิท กลิ่นหมึกเจือชาอ่อนลอยคลุ้ง หานเจวี๋ยเหิงนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สัก ยกสายตาขึ้นมองหญิงที่ก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
“เจ้าคงภูมิใจไม่น้อยกระมัง” เสียงทุ้มต่ำแต่เยือกเย็น “ใช้เล่ห์กลอันใด กล่อมมารดาข้าได้จนถึงขั้นส่งเจ้าไปนั่งอวดหน้าในงานเลี้ยงได้เช่นนั้น”
