บทที่ 2 เจ้าคือใคร เข้ามาทำอะไรในห้องข้า
ภายในเรือนนอนเงียบสงัด แสงจันทร์รอดผ่านผ้าม่านบาง ส่องให้เห็นร่างหญิงสาวในอาภรณ์สีแดงเข้มนอนนิ่งบนเตียงกว้าง กลิ่นหอมจางของดอกไม้จากกายปะปนอยู่ในอากาศคลุ้มจนมัวเมา
หลินอิงหลัวนอนหมดสติ ใบหน้าแดงเรื่อไม่ต่างจากคนหลับใหลหลังดื่มสุรา ที่แท้ในอาหารค่ำมีการวางยาสลบไว้ และร่างแน่งน้อยก็ถูกจับอาบน้ำแต่งตัวใหม่ในชุดผ้าเนื้อบางสีแดงสด เย้ายวนเกินงาม ปล่อยผมยาวสยายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมของอนุผู้น้อยจวนหานผู้เรียบง่ายและทำงานหนัก
ประตูไม้แง้มเบา ๆ เสียงฝีเท้าหนักแน่วแน่ทอดเข้ามาพร้อมกลิ่นหมึกกับเศษอากาศเย็นจากห้องหนังสือ
หานเจวี๋ยเหิง เขาถอดเสื้อคลุมพาดพนักเก้าอี้ คลายกระดุมคอ ผิวอกแตะต้องอากาศแล้วผุดเหงื่อเม็ดเล็กจากความร้อนรุ่มที่คุยังไม่คลาย เมื่อเอนกายลงบนฟูกกลับสัมผัสสิ่งอุ่นนุ่มผิดไปจากผ้าห่ม
คิ้วเข้มขมวดแน่น เขาสะบัดเอาร่างนั้นให้พ้นตัวโดยสัญชาตญาณ
ตุบ!
“โอ๊ย!”
เสียงสตรีหลุดอุทานแผ่ว ก่อนตามด้วยครางเบา ๆ เจือความเจ็บ
เจวี๋ยเหิงผุดลุกในความมืด นิ้วกดไส้ตะเกียง แสงเพลิงลามวาบเผยให้เห็นหญิงสาวในชุดแดงบางเฉียบ ผมสยายยุ่ง ใบหน้างามจัดยังพร่ามึนจากยา แต่ดวงตาคู่ตัวสั่นสะท้อนคมแสงไฟจนวูบวาบ
“เจ้าคือใคร เข้ามาทำอะไรในห้องข้า”
เสียงเขาเรียบเย็น ดวงตาคมจับตัวตนตรงหน้าแน่นหนาอย่างผู้ชำแหละข้อเท็จจริง
หลินอิงหลัวลืมตาขึ้นมองชายตรงหน้า แสงไฟสะท้อนร่างสูงในชุดผ้าไหมสีดำเนื้อบางที่เผยกล้ามเนื้อแข็งแน่น ใบหน้าเรียบนิ่งแต่มีเหงื่อผุดซึมตามไรผม หัวใจนางกระตุกวูบ
“ข้า... ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ ตื่นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว!”
“ไม่รู้?” เขาทวนเสียงเย็น “ตั้งใจแต่งตัวเช่นนี้เข้ามาคุณชายรองเช่นข้าน่ะหรือบอกไม่รู้!”
อิงหลัวก้มลงมองร่างตัวเองแล้วแทบอยากมุดพื้น เสื้อผ้าสีแดงบางราวสายหมอก เผยผิวขาวตัดกับแสงไฟ ใบหน้าแดงซ่านรีบกอดอกแน่นอย่างอับอาย
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน! อยู่ดี ๆ มาตื่นบนเตียงชายแปลกหน้า...แถมยังแต่งตัวแบบนี้อีก อย่ามองนะ!”
ชายหนุ่มเบือนสายตาออกทันที ไม่ได้เพราะอาย แต่เพราะรังเกียจกลิ่นเครื่องหอมที่อบอวลจนแทบหายใจไม่ออกภายในห้องของเขาต่างหาก
“ข้าไม่คิดจะมองอยู่แล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “ตอบมา เจ้าคือผู้ใด”
หลินอิงหลัวขมวดคิ้วแน่น หลังถูกชายตรงหน้าตะคอกเรียกสติที่มึนเบอล นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงแสงตะเกียงวูบไหวสะท้อนร่างสูงเปลือยอกของเขา ใบหน้าเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ย้อนนึกถึงสิ่งที่เขาเอ่ยปาปก่อนหน้า
พอได้ตั้งสติ ความคิดในหัวก็เริ่มเรียงต่อกันทีละชิ้น ตอนมื้อเย็น... อาหารของนางพิเศษมากผิดปกติ ทั้งเนื้อ ทั้งกับข้าวอย่างดีที่ไม่เคยมีในวันก่อนหน้า
ที่แท้มันคือกับดักนี่เอง !
อิงหลัวเริ่มเข้าใจสถานการณ์และคาดเดาได้ว่าคนตรงหน้าคือใครก็เริ่มขยับกายลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง มือคว้ารวบผ้าห่มมาคลุมไหล่ไว้ ดวงตาคมหรี่ลงถอนหายใจยาว
“ข้าคิดว่าเราสองคนคงถูกวางแผนไม่ต่างกันเจ้าค่ะ”
เจวี๋ยเหิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเย็นเฉียบ พยายามตั้งสติสู้กับความร้อนรุ่มในกาย “เจ้ากำลังหมายถึง?”
“ข้าคงไม่ต้องเอ่ยนามคุณชายรองหานก็น่าจะเข้าใจ ข้าเป็นอนุของท่านถูกวางยาให้หลับใหลตื่นมาอีกทีก็ถูกท่านถีบลงเตียงเพียงนี้ คุณชายฉลาดเช่นท่านคงพอคาดเดาออกแล้ว...”
เสียงนางเรียบ แต่นัยน์ตาสบตาเขาตรงไม่หวาดเกรง นางปลงตกกับชะตาอนุในจวนที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเคยเสียแล้ว จากที่คิดว่าอยากอยู่ต่ออย่างสบายดันกลายเป็นถูกเล่นงานอย่างคาดไม่ถึง ไม่รู้ว่าการออกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอกกับอยู่ในจวนแห่งนี้ที่ใดจะปลอดภัยกว่ากัน
เจวี๋ยเหิงฟังนิ่งไม่เอ่ยตอบแต่คิ้วขมวดแน่นกว่าเดิมอย่างวิเคราะห์เหตุการณ์ สายตาคมประเมินหญิงตรงหน้าอย่างรอบด้าน นางดูไม่มีพิษภัย ไม่ได้พยายามยั่วยวนหรือเข้าหา มือยังคงกอดผ้าห่มแน่นราวคนอยากหาทางหนีมากกว่าทางสู้ วัดจากที่เขาเห็นแล้วที่นางกล่าวมาก็มิใช่ว่าจะไม่น่าเชื่อเสียทีเดียว
ทว่าบัดนี้จมูกที่รับกลิ่นดีของเขารับกลิ่นเครื่องหอมจากกายนางเข้มข้นเกินทน ...กลิ่นหอมแรงแบบนี้ เขาเกลียดที่สุด
“มาทางไหนก็กลับทางนั้น!”
หลินอิงหลัวพยักหน้าเร็ว “ยินดีอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่อยากอยู่นานให้ใครเข้าใจผิด”
นางว่าจบก็หมุนตัวไปก้าวถอยห่างจากเขาอย่างระวัง เดินได้ไม่กี่ก้าวก็สะดุ้งเมื่อเอวกับสะโพกเจ็บแปลบจากตอนถูกถีบตกเตียง นางโอดเบา ๆ ขณะเดินออกจากห้องไปไม่เหลียวกลับ
“ให้ตายเถอะ เจ็บเสียจริง...”
ออกพ้นธรณีประตูมาได้ไม่กี่ช่วง นางหยุดหอบแล้วเหลียวกลับไปชำเลืองภาพที่ติดตาคือชายหนุ่มที่พยายามบังคับลมหายใจ ใบหน้าเริ่มขึ้นสี ริมผมชื้นเหงื่อ ดวงตาคมวาบคล้ายกำลังกลืนไฟบางอย่างไว้ในอก
นางเม้มปากอย่างชั่งใจ เดินออกมาได้ไม่ไกลก็หันกลับมาตะโกนเสียงพอให้ใครบางคนที่อยู่รอบ ๆ รับรู้ไว้บ้าง
“ถ้ามีใครได้ยิน ก็ช่วยไปดูเจ้านายของเจ้าหน่อยเถิด ข้าว่าเขา... อาจจะไม่ค่อยสบาย!”
พูดจบ นางก็รีบก้มหน้าคลุมผ้าห่มแน่น เดินกระเพกออกจากลานเงียบ ๆ
...ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว นางคงถูกเกลียดเข้าไส้แน่ ๆ ไหนจะข่าวลือที่ว่าเขาเป็นชายตัดแขนเสื้อก็อาจจะเป็นจริง สีหน้ายามมองนางนั้นดูรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้จนนางรู้สึกอับอาย
“ยังดีที่ช่วงนี้ข้ารับจ้างทำงานแทนบ่าวขี้เกียจไว้บ้าง ได้เงินพอหาของไปขายได้หลายวันกระมัง”
พูดจบก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่อาจฝืนชะตาที่ฟ้าลิขิตได้
“เฮ้อ... ชีวิตข้านี่ไม่ถูกกับความร่ำรวยเสียจริง”
กลิ่นชาอุ่นลอยคลุ้งในอากาศผสมแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านผ้าม่านบาง เงาไม้ด้านนอกไหวระริกตามสายลมสงบงาม ทว่าแฝงความกดดันประหลาด
หลี่ซูเฟินนั่งสง่าในชุดไหมสีม่วงอ่อน พัดด้ามงาช้างในมือเคลื่อนไปช้า ๆ ข้างกายคือหงเหม่ย บ่าวคนสนิทที่ยืนรอคำสั่งอย่างรู้ใจ บานประตูเปิดออกอย่างเงียบงันหลินอิงหลัว ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มฝืนปวด สะโพกกระเผกเล็กน้อยในทุกย่างก้าว
เพียงสบตาแรก หงเหม่ยก็ยกมุมปากนิด ๆ ส่วนซูเฟินวางพัดลงบนตัก ดวงตาเรียวยาวฉายแววพอใจชัดเจน
“ดูท่าคืนก่อนเจ้าคงไม่ได้หลับได้นอนเลยสินะ...”
น้ำเสียงนุ่มละมุนแต่ทุ้มลึกจนคนฟังใจสั่น “ทำเช่นไรถึงได้เดินกระเผกเช่นนั้นล่ะ”
หลินอิงหลัวหน้าแดงขึ้นทันตา รู้สึกเหมือนถูกพาเข้าเวทีประลองที่ไม่อาจหนีได้ อยากตอบเหลือเกินว่าถูกลูกชายท่านถีบตกเตียง! แต่ปากกลับเอื้อนถ้อยนอบน้อมแทน
“ข้าน้อย...เดินพลาด ไม่มองทางเจ้าค่ะ”
ซูเฟินเลิกคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มคล้ายรู้ทัน ก่อนปรายตาให้หงเหม่ยจัดการต่อ
“เจ้าอย่ายืนงงอยู่เช่นนั้น มานั่งบนตั่งเสียสิ” หงเหม่ยว่าพลางยื่นมือเชื้อเชิญ แต่ยังไม่ทันให้หญิงสาวทรุดตัวลงก็ยิงคำถามราวลูกศร “เมื่อคืนเจ้าอยู่ที่ใด ทำอะไร”
