บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ชาร้อนซ่อนเร้น

“อนุหลิน! ท่านอย่าเพิ่งตายนะ!”

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของบ่าวสาวดังสะท้อนทั่วเรือน ร่างเล็กของอาจูคุกเข่าอยู่ข้างเตียง น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย

หญิงผู้นอนนิ่งบนเตียงคือ หลินอิงหลัว

สตรีที่ทั้งเรือนเชื่อว่ากำลังป่วยหนักใกล้สิ้นใจ ...แต่แท้จริงแล้ว เพิ่งแสดงจบฉากแรกของละครที่ตนเขียนบทเอง

ก่อนรุ่งเช้าเมื่อคืน นางยื่นถุงเงินให้บ่าวสาวเพียงคำสั้น ๆ

“แค่ช่วยข้าเล่นละครให้สมจริง แล้วเจ้าจะได้กำไลเงินเส้นนี้ไป”

อาจูทำได้ดีเกินคาด เสียงร้องไห้ชวนเวทนาจนคนทั้งเรือนหลั่งน้ำตา ไม่นานนัก ผู้ช่วยอู๋ ก็ต้องมาตรวจด้วยตนเองตามคำสั่งของคุณชายรอง

“นางอาการหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เสียงทุ้มเรียบถามขณะมองหญิงหน้าซีดราวกระดาษ

อาจูรีบคุกเข่าก้มกราบ “ขอท่านผู้ช่วยอู๋เมตตาด้วยเจ้าค่ะ อนุหลินอาการหนักนัก หมอบอกว่าหากฝืนเดินทางอาจสิ้นใจระหว่างทาง ขอท่านโปรดให้พักรักษาตัวอีกสักระยะเถิดเจ้าค่ะ”

ผู้ช่วยอู๋ขมวดคิ้วชั่งใจ อนุผู้นี้อยู่เงียบ ไม่ก่อปัญหา หากอนุโลมไว้ก่อนก็คงไม่เสียหาย

“เช่นนั้นก็ให้พักอยู่เรือนนี้ต่อก่อน รักษาอาการให้ดี แล้วค่อยย้ายออก ข้าจะเรียนคุณชายเอง”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ!” อาจูค้อมศีรษะ น้ำตาเอ่อราวดีใจจนเกินจริง

เมื่อเสียงฝีเท้าไกลออกไปจนเงียบสนิท หลินอิงหลัวค่อยลืมตาขึ้น ดวงตาคู่คมเปล่งประกายเฉียบราวคนละคนกับหญิงป่วยเมื่อครู่

“ละครฉากแรก... ผ่านไปได้ด้วยดีสินะ” เสียงแผ่วแตะรอยยิ้มมุมปาก

อาจูรีบเช็ดน้ำตา เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มโล่งใจ “ผ่านแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านแสดงได้เหมือนคนจะสิ้นใจจริง ๆ ข้าเกือบเชื่อเองแล้วด้วยซ้ำ”

อิงหลัวหัวเราะในลำคอเบา “ดี อย่างน้อยข้าก็ซื้อเวลาได้อีกหน่อย” นางเอนหลังพิงหมอน หายใจยาว “ตอนนี้สิ่งสำคัญคือหาเงินสำรองไว้ก่อนวันถูกขับออกจริง ๆ”

หลังจากมาที่จวนหาน นางไม่เคยอยู่นิ่งเหมือนหญิงป่วยทั่วไป กลับอาสาทำงานแทนบ่าวซักผ้า ขัดพื้น ขนฟืนเพียงเพื่อเงินเล็กน้อย แต่สำหรับหญิงที่เคยลำบากจนต้องนับเหรียญเพื่อกินข้าวทุกมื้อ เงินเพียงเล็กน้อยนั้นคือ ทุนตั้งต้นชีวิตใหม่

“อาจู เจ้านับดูสิ วันนี้เราทำแทนไปกี่งานแล้ว”

อิงหลัวเอ่ยพลางยกถังน้ำขึ้นวางหลังเรือนครัว เหงื่อซึมเต็มขมับแต่รอยยิ้มยังคงสดใส

“สี่งานเจ้าค่ะ ทั้งซักผ้า ขัดพื้น ขนฟืน แล้วยังยกน้ำให้เรือนรองอีก”

“ดี...อีกหน่อยอาจได้เปิดร้านขายแรงงานเสียเอง” นางหัวเราะเบา

อาจูมองเจ้านายอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านใบหน้างดงามเช่นนี้ ออกไปแต่งสามีใหม่ไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ จะมาลำบากทำงานแบบนี้ทำไมกัน”

หลินอิงหลัวหัวเราะแผ่ว “ข้าแต่งสามีก็ยังเป็นภรรยารองอยู่ดี สตรีเช่นเรา จะไปหาชายใจเดียวสักกี่คนกัน... อย่างน้อยตอนนี้ข้ายังพอหาเงินด้วยแรงตนเองได้ ดีกว่ารอให้ใครโยนเศษเงินให้”

นางเงยหน้ามองฟ้า แสงแดดกระทบผิวขาวจนสว่างจ้า ดวงตาเปล่งแสงมุ่งมั่น

“ข้าเคยจนจนรู้ว่า... คนไม่มีเงิน ไม่มีสิทธิ์จะเลือกอะไรเลย”

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าสตรีกลุ่มหนึ่งดังเข้ามาไม่ไกล

ฮูหยินหลี่ซูเฟิน มารดาของคุณชายรอง เดินตรวจเรือนพร้อมบ่า คนสนิท หงเหม่ย สายตาคมของนางสะดุดกับหญิงในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่กำลังยกน้ำกลางแดด

“หงเหม่ย เจ้าดูสิ สตรีผู้นั้นคืออนุของอาเหิงหรือ?”

“เห็นว่ามีอนุนางหนึ่งป่วยหนักเลยยังไม่ถูกส่งออกไปเจ้าค่ะ ชื่อ...หลินอิงหลัว”

ซูเฟินนิ่งครุ่นครวญแวบหนึ่ง ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบาง

“อนุหลิน... นางดูสะอาดตาและมุ่งมั่น น่าเสียดายที่อาเหิงไม่เค ชายตาแลใครนอกจากงานในมือ” นางถอนหายใจแผ่ว “ช่างเถอะ ไปเถอะ”

แต่ในใจกลับผุดประกายบางอย่างขึ้นเงียบ ๆ

ค่ำวันนั้น เมื่อกลับถึงเรือน

หงเหม่ยวางถาดชาใหม่ลงแล้วเอ่ยเบา ๆ “ฮูหยินยังครุ่นคิดเรื่องอนุหลินอยู่หรือเจ้าคะ”

“ข้าคิดถึงคำพูดของฮูหยินซ่งมากกว่า” ซูเฟินวางถ้วยชาลงช้า ๆ “นางกล้าพูดต่อหน้าทุกคนว่าลูกข้าเป็นชายตัดแขนเสื้อ ไม่มีทางให้กำเนิดทายาทได้”

หงเหม่ยรีบปลอบ “ก็เพราะนางกลัวคุณชายรองจะเหนือกว่าลูกชายเสเพลของนางต่างหากเจ้าค่ะ”

ซูเฟินหัวเราะเย็น “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ผิดทั้งหมด... เจวี๋ยเหิงไม่เคยมองสตรีใด ทำแต่งานทั้งวันทั้งคืน ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเย็นชาเกินไป หรือไม่รู้จักไฟแห่งตัณหาเลยกันแน่”

หงเหม่ยนิ่งคิด ก่อนเอ่ยอย่างระมัดระวัง “บางทีคุณชายรองอาจต้องรู้จักรสรักสตรีบ้าง ก่อนพูดถึงการแต่งภรรยา”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“คืนนี้ หากให้อนุหลินเข้าไปปรนนิบัติในเรือนนอน... บางทีไฟเย็นนั้นอาจเริ่มติดเชื้อได้เจ้าค่ะ”

ซูเฟินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ภาพหญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายเรียบ ๆ ที่ยกน้ำกลางแดดผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง งดงาม เรียบง่าย แต่ไม่อ่อนแอ

นางยิ้มบาง พลางกล่าวช้า ๆ “เช่นนั้นคืนนี้... ฝากเจ้าจัดการเถอะ อย่าให้พลาด”

“เจ้าค่ะ” หงเหม่ยค้อมตัว “ไว้ใจบ่าวได้”

“ดี” เสียงซูเฟินเรียบแต่เฉียบ “หากนางทำให้เจวี๋ยเหิงเหลียวมองได้แม้ชั่วคืน ข้าก็จะเลี้ยงดูนางเอง”

ลมยามค่ำพัดแผ่วผ่านรั้วไม้ เสียงจิ้งหรีดขับระงมทั่วลาน

แสงตะเกียงในเรือนใหญ่ดับไปทีละดวง เหลือเพียงแสงบางจากเรือนฝั่งตะวันออก

ภายในห้องหนังสือ ชายหนุ่มนั่งหลังตรงอยู่หลังโต๊ะยาว พู่กันในมือขยับตามบรรทัดของตัวเลขบัญชีจนเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น

“คุณชายรองขอรับ” ผู้ช่วยอู๋ก้มศีรษะ “บ่าวจากเรือนฮูหยินหลี่เพิ่งนำชาร้อนมาส่ง บอกว่าเป็นใบชาหายากจากเมืองหลวง ฮูหยินให้ท่านดื่มก่อนพักผ่อนขอรับ”

เจวี๋ยเหิงเงยหน้าขึ้นครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเรียบ “วางไว้เถอะ เดี๋ยวข้าดื่มเอง”

ผู้ช่วยอู๋ค้อมศีรษะ ถอยออกไปเงียบ ๆ

ห้องกลับสู่ความสงัดอีกครั้ง กลิ่นชาหอมอ่อนแตะปลายจมูก เขาจิบเบา ๆขมละมุน เย็นลึก รสชาแปลกไปเล็กน้อย แต่เขาคิดเพียงว่ามารดาคงหวังดี

ทว่าผ่านไปไม่นาน เส้นหมึกที่เขียนบนกระดาษเริ่มสั่น

“...อากาศคืนนี้อบอ้าวนัก” เขาพึมพำ เบาแผ่ว

เหงื่อผุดซึมตามไรผม ความร้อนวูบแผ่ซ่านจากอกขึ้นสู่ใบหน้า ลมหายใจขุ่นร้อนผิดปกติไม่ใช่ไข้ แต่เหมือนเปลวไฟเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ คลอเคลียใต้ผิว

เจวี๋ยเหิงขมวดคิ้วแน่น ร่างสูงลุกขึ้นคลายสาบเสื้อ เดินช้า ๆ ออกจากห้องหนังสือ ตั้งใจจะกลับเรือนนอนเพื่อสงบจิต... แต่ทุกย่างก้าวกลับรู้สึกเหมือนมีเสียงบางอย่างรออยู่ข้างหน้า

แสงตะเกียงเรือนน้อยส่องวับในเงาคืน และในค่ำคืนนั้นโชคชะตาของชายผู้เชื่อว่าทุกอย่างต้องแลก... กำลังจะถูก ชาชุดหนึ่ง เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel