บทที่ 2 อนุของหัวหน้ากู้
กู้เฉียวเหว่ยชะเง้อชะแง้มองดูประตูรั้วพังๆ ด้านหน้าของเรือนร้างด้วยความกังวล ผ่านไปถึงสองเค่อแล้วพี่ชายของนางก็ยังไม่ปรากฎตัว
พลันบุรุษในชุดดำแปลกตาก็โผล่ออกมาแทน ใบหน้าของคนผู้นั้นถูกปิดบังไว้จนเห็นเพียงสายตาแวววาว แต่ที่นางตกใจมากก็คือร่างของคนผู้นั้นกระโจนมาตรงหน้าบริเวณที่นางซ่อนตัวอยู่
“เจ้า เจ้านั่นล่ะ ข้ารู้นะว่าเจ้าซ่อนอยู่ตรงนี้ รีบเข้าไปช่วยพี่ชายเจ้าเถอะ”
“ข้าหรือ?”
“เออ...ข้าไปก่อนล่ะ”
นักสืบสาวมองตามคนผู้นั้น แต่ก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปในเรือนร้างตามที่เขาบอก พอถึงข้างในห้อง นางก็ร้องเรียกพี่ชาย
“พี่ใหญ่! ท่านถูกจับหรือ? มิน่า...ข้ารอตั้งนานท่านก็ไม่ออกมา”
“น้องเล็ก เจ้าเองหรือ?”
หัวหน้ามือปราบหนุ่มสะบัดมือที่แกะเชือกคาไว้ออก กู้เฉียวเหว่ยพุ่งเข้าไปแกะเชือกที่มัดช่วงอกให้พี่ชายจากด้านหลัง ส่วนกู้เจิ้งจีแกะผ้ามัดตาแล้วหันไปมองรอบตัว
“นั่น! น้องเล็ก เจ้ารีบไปช่วยคุณชายหลานเถอะ”
หลานหลิงหยุนกระพริบตาถี่ๆ เขาหลับไปตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายจนถึงตอนนี้ ในห้องค่อนข้างสว่างเพราะเป็นยามสาย หญิงสาวในชุดสีน้ำเงินทะมัดทะแมงวิ่งเข้ามาทรุดตัวลงใกล้แล้วประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่ง
“คุณชายหลาน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้า...” ชายหนุ่มสะบัดหน้าไปมาหวังจะขับไล่ความมึนงง
“น่าจะถูกซัดผงนิทราเหมือนอย่างข้า ไปเอาน้ำมาให้เขาล้างหน้าก่อน”
“เจ้าค่ะ”
กู้เฉียวเหว่ยวิ่งตื๋อไปด้านหลังเรือน นางผงะเมื่อเห็นโจรห้าคนนอนเรียงกันในสภาพถูกมัดอย่างน่าอนาถ
“พี่ใหญ่! ท่านออกมาดูนี่เร็วเข้า!”
กู้เจิ้งจีวิ่งออกมาดู ครั้นเห็นสภาพตรงหน้าก็ผงะ
“เมื่อครู่เจ้านักฆ่าผู้นั้นคงจะเป็นคนจับพวกมันมัดเอาไว้น่ะ” หัวหน้ามือปราบหนุ่มนั่งยองๆ ลงแตะชีพจร “พวกมันถูกผงนิทราเสียแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน ข้ากับเจ้าไม่ต้องลำบากต่อสู้ก็จะได้เงินรางวัลนำจับ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปช่วยคุณชายหลานก่อนนะเจ้าคะ”
หลานหลิงหยุนได้ล้างหน้าล้างตาแล้วก็สดชื่นขึ้น เขากล่าวขอบคุณหญิงสาวตรงหน้า เมื่ออาการดีขึ้นเขาจึงพบว่านางเป็นหญิงสาวน่ารักผู้หนึ่ง
“เหตุใดท่านจึงได้เข้ามาช่วยข้า?”
“ข้าเป็นนักสืบน่ะสิ ส่วนนั้นคือพี่ชายของข้า หัวหน้ามือปราบหน่วยที่สาม”
“ขอบคุณพวกท่านสองพี่น้องมากขอรับ” หลานหลิงหยุนกล่าวขอบคุณทั้งยิ้มอย่างซาบซึ้งใจให้คนทั้งสอง
“ข้าแซ่กู้ นามเจิ้งจี ส่วนนางชื่อเฉียวเหว่ย”
“ขอบคุณหัวหน้ากู้ ขอบคุณแม่นางกู้”
“นี่เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว อีกอย่างข้ากับพี่ชายก็อยากจะได้รางวัลนำจับห้าร้อยตำลึงด้วย” น้องเล็กสกุลกู้ยิ้มกว้าง
ปัง!
เสียงถีบประตูเสียงดังสนั่น คนทั้งสามหันไปมองด้วยความตกใจ
“หัวหน้ากู้! เป็นเจ้าอีกแล้วหรือ?” หัวหน้ามือปราบหน่วยที่สองร้องออกมาด้วยความผิดหวัง
เขาหวังจะได้รางวัลนำจับคนร้ายในครั้งนี้แท้ๆ แต่กลับต้องพลาดท่าให้กับกู้เจิ้งจีอีกจนได้
“อืม...ข้าเอง คนร้ายถูกมัดไว้ด้านหลังเรือนเรียบร้อยแล้ว”
คนที่มาทีหลังทำหน้าเอือมระอาก่อนจะหันไปสั่งลูกน้อง
“พวกเจ้าได้ยินแล้วนี่? หัวหน้ากู้จะเอาห้าร้อยตำลึง คนร้ายก็จับเอาไว้หมดแล้ว รีบไปจัดการสิ”
หลานหลิงหยุนยิ้มกว้างเดินตามหลังสองพี่น้องสกุลกู้ออกมาหน้าเรือนร้าง ยามนั้นม่อชิงฉือขี่ม้ามาถึงพอดี
“ข้าเห็นคนชุดดำขี่ม้าสวนไปเมื่อลี้ที่แล้ว เกี่ยวพันกับเรื่องนี้หรือไม่?”
กู้เจิ้งจีรีบดึงเอาตัวม่อชิงฉือหลบไปซักถามที่ด้านหน้า เพื่อมิให้มือปราบผู้อื่นได้ยินเรื่องของชายชุดดำผู้นั้น
“เจ้าเห็นหน้าคนชุดดำหรือไม่?”
“ไม่นะ ปิดหน้ามิดชิดเชียว”
“มันก็ออกไปจากที่นี่ล่ะ น่าเสียดายแม้แต่เสียงข้าก็ไม่ได้ยิน ไม่มีข้อสังเกตใดเหลือไว้สักอย่าง ดูเหมือนมันจะมิใช่พวกเดียวกันกับโจรพวกนี้”
ไม่ว่าจะเป็นเพราะฝีมือของกู้เจิ้งจีหรือไม่? แต่เขาก็ได้รับเงินรางวัลนำจับจากคหบดีหลานในฐานะผู้ที่ตามพบโจรทั้งห้าและช่วยคุณชายหลานได้สำเร็จ
เสี่ยวเอ้อหนุ่มยิ้มกว้างให้กับหัวหน้ามือปราบหนุ่มเมื่อเขาเดินเข้ามานั่งยังโต๊ะประจำที่อยู่ริมหน้าต่าง
“หัวหน้ากู้มาตอนนี้ ในครัวใกล้จะปิดแล้วนะขอรับ”
ร้านรสโอชาเปิดตั้งแต่เช้าและปิดตอนเย็น หวังฮั่นรู้จากเถ้าแก่สือว่ากู้เจิ้งจีมาที่นี่เพื่อทานอาหารเช้าหรือไม่ก็ตอนสายเท่านั้น
“อาหารพอทำสิ่งใดก็หามาสักสามสี่อย่างเถอะ ข้าหิวมาก”
หวังฮั่นมองเห็นหญิงสาวที่เดินตามเข้ามาทีหลังก็รีบยิ้มให้ น้องสาวคนเล็กของกู้เจิ้งจีก็มาด้วย
“เชิญขอรับแม่นางกู้”
“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”
นักฆ่าหนุ่มผงะ เขาลืมไปว่าเขาเพิ่งมาทำงานที่นี่อย่างเปิดเผยไม่กี่วันก่อนและยังไม่เคยเจอนางเลยสักครั้ง
“ข้าเดาเอานะขอรับ ใบหน้าของแม่นางมีหลายส่วนที่คล้ายท่านหัวหน้ากู้ ทั้งเดินตรงมาที่โต๊ะนี้อย่างตั้งใจ ก็น่าจะเป็นคนในครอบครัว”
“อืม...เจ้าช่างสังเกตดีจริง” กู้เฉียวเหว่ยหันไปมองพี่ชาย “พี่ใหญ่ ข้าว่าเสี่ยวเอ้อฉลาดเช่นนี้พวกเราน่าจะพาเขาไปเป็นนักสืบด้วยนะเจ้าคะ”
“เจ้าว่าเหมาะหรือ?”
หญิงสาวหันไปหาเสี่ยวเอ้อผู้น่ารัก “เจ้าชื่ออะไร?”
“หวังฮั่นขอรับ”
“เจ้าดูเป็นบุรุษที่น่ารักมากทีเดียว” หญิงสาวหันไปสะกิดพี่ชาย “พี่ใหญ่ ท่านว่าอย่างข้าหรือไม่? หวังฮั่นดูไปแล้วน่ารักเหมือนสตรีมากกว่าบุรุษเสียอีก” นางหันกลับมาเอียงคอมองดูเสี่ยวเอ้ออย่างพินิจพิจารณา
กู้เจิ้งจีเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวเอ้อที่เขาสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ แล้วรีบก้มหน้า เขาไม่อยากให้ผู้ใดจับได้ว่ายามนี้หัวใจของเขามันเต้นระส่ำ
“พี่ใหญ่ร้อนหรือเจ้าคะ?”
หัวหน้ามือปราบหนุ่มยกหลังมือขึ้นแตะแก้มที่ร้อนผ่าวของตนเอง
“ข้าขี่ม้าตากแดดออกไปตั้งไกล รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว พวกเรารีบกินแล้วรีบกลับบ้านกันเถอะ”
หวังฮั่นมองอาการของกู้เจิ้งจีด้วยความเป็นห่วง เขาอุตส่าห์ตามไปช่วยเหลือ แต่หัวหน้ากู้ก็ยังไม่สบายจนได้ คืนนี้เห็นทีก็แอบไปดูแลเขาสักหน่อย
“อนุจือ นายท่านมาแล้วขอรับ”
“รีบเอาน้ำชากับของว่างไปออกมาเร็วเข้า”
อนุภรรยาเพียงคนเดียวของกู้เจิ้งจีกระวีกระวาดออกไปยืนรอที่หน้าห้องโถงใหญ่ พร้อมด้วยสาวใช้อีกหนึ่งคนที่เดินตามหลังมา
“ท่านพี่ เชิญดื่มน้ำชาก่อนเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบนะเสี่ยวหลิง ข้ากับน้องเล็กเพิ่งอิ่มมาจากข้างนอก วันนี้จับโจรคดีลักพาตัว พรุ่งนี้พวกเราก็จะไปรับรางวัลนำจับ”
“ดีจริงท่านพี่ เราจะได้ซ่อมหลังคาเรือนนอนของท่านเสียที”
จือหลิงยิ้มกว้าง เงินเดือนของกู้เจิ้งจีกับพี่น้องอีกสองคนถูกแบ่งนำมาใช้จ่ายในเรือนแห่งนี้ สามพี่น้องสกุลกู้ช่างเคราะห์ร้ายที่บิดามารดามาเสียชีวิตไปในเวลาไล่เลี่ยกันด้วยโรคร้าย
ยามนั้นพี่ชายคนโตเพิ่งจะอายุสิบหก ด้วยเงินทองที่บิดามารดาเก็บเอาไว้ กู้เจิ้งจีจึงได้ใช้ดูแลน้องๆ ทั้งสอง รวมทั้งแบ่งบางส่วนให้กับปู่ย่าตายายที่อยู่ต่างอำเภอเอาไว้ใช้
เรือนสกุลกู้แห่งนี้นับเป็นกลุ่มเรือนขนาดกลาง ค่าใช้จ่ายภายในที่เคยมีมากในตอนที่บิดามารดายังอยู่จำต้องลดลง คนรับใช้ในเรือนก็เหลือไว้เท่าที่จำเป็น
“ส่วนของข้าเดี๋ยวจะแบ่งไว้ให้เจ้าซ่อมแซมเรือนก็แล้วกัน”
“ดีเจ้าค่ะ”
จือหลิงรับหน้าที่ทำบัญชีและดูแลรายจ่ายทั้งหมดในเรือน สามพี่น้องสกุลกู้ต่างแบ่งรายได้ออกมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนนี้ แต่บางเดือนก็ยังไม่พอ เบี้ยหวัดของกู้เจิ้งจีก็เพียงเดือนละยี่สิบตำลึง ในขณะที่น้องคนกลางและน้องคนเล็ก มีรายได้ไม่แน่นอน
“พวกท่านต้องลำบากออกไปสืบคดีเพื่อเงินรางวัลนำจับ ข้าคอยเฝ้าสวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวัน ขอให้พวกท่านอยู่รอดปลอดภัย”
“เอาน่าเสี่ยวหลิง เจ้าไม่ต้องคิดมาก พวกเราเป็นครอบครัว ย่อมต้องดูแลกันและกันให้ดีที่สุด” กู้เจิ้งจียิ้มน้อยๆ ปลอบจือหลิง “ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ลำบาก หากพวกเราไม่ออกไปหารายได้เสริม เห็นทีคงดูแลบ้านสกุลกู้ไม่ไหว”
******************
