บทที่ 5 เพื่อชัยชนะ
อี้เจียหนานยังคงนำทหารไปร่วมฝึกกับขุนพลเสิ่นตามกำหนดการเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้เป็นการฝึกยิงเกาทัณฑ์ในลานกว้างระหว่างค่ายชั่วคราวของหน่วยทหารทั้งสอง
“ขุนพลอี้ เหตุใดรอบตาของท่านจึงคล้ำเช่นนี้?”
โจวเฉินเอียงซ้ายเอียงขวามองดูใบหน้าของอี้เจียหนานด้วยความสงสัย ขุนพลหนุ่มพยายามเมินหน้าหนี
“ข้าก็แค่นอนไม่ค่อยหลับเพราะเป็นห่วงเรื่องการแข่งขันวันนี้”
“เอ๋? สองวันก่อนท่านก็เห็นตอนพวกเขาซ้อมแล้วนี่ขอรับ ท่านก็ยังบอกข้าเองเลยว่ารู้สึกมั่นใจมากว่าคราวนี้จะต้องชนะ”
“เออ...ก็...ก็เมื่อคืน พอข้ามาลองคิดดูอีกๆ หากว่าคราวนี้หน่วยของเราเอาชนะเสิ่นหาวไม่ได้ เดือนหน้าเขาต้องหาข้ออ้างมาฝึกกับหน่วยของเราอีกเป็นแน่ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบหน้าขุนพลเสิ่น”
“ขอรับ ข้ารู้ แต่ครั้งก่อนพวกเราก็ไม่ได้แพ้นะขอรับ”
“การเสมอกัน ทำให้เสิ่นหาวหาเรื่องมาฝึกร่วมกับหน่วยเราได้บ่อยๆ เดือนที่ผ่านมาข้าให้เจ้าเคี่ยวกรำทหารของพวกเราก็เพื่อจะได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดเสียที”
“ท่านทำใจให้สบายเถิดขอรับ ข้าว่าครั้งนี้เราน่าจะเอาชนะได้”
เป้านิ่งและเป้าบินถูกเตรียมเอาไว้พร้อม กองบุกทะลวงของโจวเฉินยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ห่างจากเป้านิ่งตามระยะที่กองทัพได้กำหนดเอาไว้
“พร้อม!” เสียงสั่งของนายกองโจวดังขึ้น
ทหารกล้าของหน่วยที่แปดหยิบลูกธนูขึ้นมาแล้วง้างเตรียมเอาไว้
“ยิง!”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ลูกศรปักเข้าจุดสีแดงทั้งสิบเป้า เป็นไปตามความคาดหวังของขุนพลอี้ เขาพยักหน้าเบาๆ ยิ้มด้วยความพอใจให้กับนายกองโจวที่หันหน้ากลับมามองผู้บัญชาการหน่วยของตน
“สมคำร่ำลือ! ฝีมือกองบุกทะลวงที่แปดของขุนพลอี้ร้ายกาจยิ่ง”
“ขอบคุณที่ชื่นชม ข้าอยากจะเห็นฝีมือของกองบุกทะลวงที่เจ็ดของท่านเสียแล้วสิ ไม่รู้ว่าจะกระเตื้องขึ้นกว่าครั้งที่แล้วหรือไม่?”
“หึ! ไม่ต้องเป็นห่วง ครั้งนี้คนของข้าจะต้องเอาชนะคนของเจ้าได้แน่ๆ”
คนของหน่วยที่แปดถอยไปยืนด้านหลัง ทหารของหน่วยที่เจ็ดจึงขยับขึ้นมายืนแทนตำแหน่งในการยิง นายกองของหน่วยทหารที่เจ็ดทำการสั่งยิงตามลำดับ ทว่าลูกศรของทหารทั้งสิบที่ยิงออกไปพร้อมกันกลับมีสองดอกที่หลุดไปจากจุดสีแดงที่อยู่ตรงกลาง
“อืม...เห็นทีหน่วยที่เจ็ดคงจะใช้ลูกเกาทัณฑ์ด้อยคุณภาพจึงยิงไม่เข้าจุดสีแดง ขุนพลเสิ่น ข้าว่าหน่วยของเจ้าครั้งนี้คงจะต้องเอางบอาหารพิเศษโยนมาให้หน่วยของข้าอีกครั้งแล้ว”
แม้จะพยายามแก้ตัวโดยการให้ทหารที่เหลือมายิงเกาทัณฑ์เพื่อหวังคะแนนรวมจนหมดทั้งหน่วย ทว่าคนของเสิ่นหาวก็ยังคงแพ้อยู่ดี
เสียงเฮละโลของทหารหน่วยที่แปดดังลั่น จนทำให้เสิ่นหาวหน้าบูดบึ้งเดินหันหลังออกจากสนามฝึกซ้อมไปนั่งจิบน้ำชาลดความหงุดหงิดที่ใต้ร่มไม้
โจวเฉินหันมายิ้มให้ผู้บังคับบัญชาของตน
“ขุนพลอี้ คะแนนการยิงเป้านิ่งทหารของเรา ครั้งนี้ทำได้ดีกว่าครั้งก่อนมากนะขอรับ ข้าไม่คิดเลยว่าครั้งนี้กองบุกทะลวงจะยิงเข้าเป้าทุกลูก”
“เจ้าฝึกกองบุกทะลวงได้ดีมาก นายกองโจว แล้วการยิงเป้าบินเล่า? หน่วยของเราฝึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หากท่านถามฝีมือของกองบุกทะลวง ข้าเห็นว่าพวกเขาทำได้ดีไม่แพ้การยิงเป้านิ่งขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นก็น่าจะพอดึงคะแนนรวมได้ หวังว่าข้าคงจะไม่ขายหน้าเสิ่นหาวหรอกนะ ถ้าเขาแพ้การแข่งในครั้งนี้จะได้หายหน้าไปนานๆ หน่อย”
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของขุนพลอี้กับนายกองโจวก็คือ ฝีมือการยิงเป้าบินของกองบุกทะลวงหน่วยที่เจ็ดนับได้ว่าดีเยี่ยม
ใบหน้าของอี้เจียหนานถึงกับหงิกงอเมื่อเห็นว่าเป้าบินที่ร่วงลงมาจากอากาศของฝ่ายตรงข้ามเข้าเป้าทุกดอก
“นายกองโจว เจ้าดูสิ!”
ใบหน้าของโจวเฉินเองก็เผือดสีลง ในขณะที่ขุนพลหาวกับนายกองคู่ใจยกกำปั้นขึ้นมาชูพร้อมกัน โจวเฉินหันไปกล่าวปลอบใจหัวหน้าของตน
“ท่านใจเย็นขอรับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น คนของเราก็ฝีมือดีเช่นกัน”
หลังจากกองบุกทะลวงของแต่ละหน่วยซึ่งถือว่าเป็นทหารระดับแนวหน้าได้แสดงฝีมือการยิงเป้าบินจบลง คะแนนรวมของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน จึงต้องตัดสินกันจากคะแนนของทหารในกองอื่นๆ
“ดีนะที่ให้ส่งตัวแทนจากกองที่เหลือกองละห้าคน ข้าว่าทหารของเรายังพอจะทำคะแนนสู้ได้ขอรับ”
แต่...สิ่งที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน
นอกจากพวกกองบุกทะลวงแล้ว ทหารในกองธรรมดาก็มีทั้งยิงเข้าเป้าและยิงพลาด คะแนนของพวกขึ้นผลัดกันนำผลัดกันตาม จนกระทั่งถึงกองทหารสุดท้ายซึ่งเป็นพวกฝีมือยอดแย่
“เจ้าดูสิ คะแนนของพวกเรายังตามอยู่ตั้งห้าสิบคะแนน แล้วเหลือต้องแข่งอีกห้าคนสุดท้าย ทหารของเราจะไหวหรือ?” ใบหน้าของอี้เจียหนานเต็มไปด้วยความกังวล
“พวกเขาฝีมือก็พอใช้ได้อยู่นะขอรับ” นายกองเป้ยที่ดูแลทหารใหม่กองสุดท้ายรีบยืนยันกับขุนพลอี้
สีหน้าของอี้เจียหนานดูเหมือนไม่อยากจะคาดหวัง
เมื่อทหารทั้งห้าคนสุดท้ายจากหน่วยที่เจ็ดยิงจบสิ้นลง ใบหน้าของอี้เจียหนานก็ยิ่งอึมครึมลงไปอีก
“เฮ้อ! ข้าว่างบค่าอาหารพิเศษของพวกเราคงต้องมอบให้เสิ่นหาวเอาไปเลี้ยงทหารหน่วยที่เจ็ดเสียแล้ว”
“อย่าเพิ่งสิ้นหวังสินายกองเป้ย ท่านเป็นคนฝึกสอนพวกเขาเองแท้ๆ หากท่านยังกล่าวเช่นนี้ ข้าเป็นทหารกองของท่านได้ยินเข้าก็คงหมดกำลังใจกันพอดี”
“ข้าก็บ่นแต่กับพวกท่านนี่ล่ะ เรื่องที่ฟังแล้วหมดกำลังใจ ข้าไม่เคยพูดกับพวกพลทหารหรอก”
“เจ้าเดินไปให้กำลังใจทหารของเจ้าสักหน่อยสิ ชัยชนะของพวกเราอยู่ในกำมือของพวกเขานะ”
โจวเฉินยกมือขึ้นตบแขนเป้ยเสียวเหวินแรงๆ
“ได้ๆ ข้าจะไปให้กำลังใจพวกเขาเสียหน่อยเผื่อเกิดปาฏิหาริย์”
ขุนพลอี้มองเหยาโม่หลินที่ยืนอยู่ท้ายสุดด้วยความแปลกใจ
“นายกองโจว เหยาโม่หลินก็ได้รับคัดเลือกให้มาแข่งยิงเป้าบินด้วยหรือ?”
“ขอรับ เห็นว่าเขาอาสาขอมาแข่งรอบนี้เอง”
“จะไหวหรือ?” อี้เจียหนานมองด้วยคลางแคลงใจ
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ ไม่เคยเห็นฝีมือเขาเสียด้วย”
ทหารสามคนแรกยิ่งเข้าเป้าบ้างพลาดบ้าง ทำเอาทหารหน่วยที่แปดทั้งหมดลุ้นกันใจหาย
“เหลืออีกสองคน แต่คะแนนยังตามอยู่ห้าสิบคะแนน ต้องยิงเข้าเป้าบินหมดทุกอันถึงจะชนะ” สีหน้าของนายกองเป้ยไม่ค่อยดีนัก เมื่อมองไปยังทหารสองคนสุดท้าย
“พวกเขาเหลือลูกเกาทัณฑ์คนละสามดอก ต้องยิงไม่พลาดเลยสักดอกถึงจะชนะ ข้าคงต้องสวดภาวนาต่อเง็กเซียนฮ่องเต้เสียแล้วกระมัง?” ขุนพลอี้บ่นพึมพำกับตนเอง
โจวเฉินจ้องไปยังทหารหนุ่มรูปร่างบางสองคนสุดท้ายที่กำลังยืนพูดคุยกัน ไม่มีผู้ใดได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน แต่ทหารอีกคนยื่นเอาลูกเกาทัณฑ์สามดอกของตนให้กับเหยาโม่หลิน
“พวกเขาคิดจะทำสิ่งใดหรือนายกองเป้ย?”
“ข้าก็ไม่ทราบขอรับ ท่านขุนพล”
“เหยาโม่หลินคิดจะยิงเองทั้งหกดอกเลยขอรับ” โจวเฉินร้องเอะอะ
ที่ลานประลองฝีมือ เป้าบินอันหนึ่งถูกเครื่องยิงขึ้นไปบนอากาศ ดูเหมือนระยะการลอยจะสูงกว่าเป้าบินรอบก่อน
ทหารหนุ่มหน้าใหม่ร่างสูงโปร่งยืนกางขาเล็กน้อย ท่วงท่าในยามที่ดึงลูกเกาทัณฑ์ออกจากกระบอกด้านหลังดูสง่างามราวกับเทพสงครามที่กำลังจะยิงศร ทหารทั้งหมดรอบข้างพากันลุ้นเอาใจช่วยบุรุษรูปงามกันทั่วหน้า
“เจ้าว่าเขาจะยิงถูกหรือไม่?”
“ข้าว่า...น่าจะถูกนะ”
**********************
