หนิงเยี่ยนและกลุ่มคนที่เก็บได้ 1.1
หนิงเยี่ยนและกลุ่มคนที่เก็บได้
เป็นเวลาเกือบห้าปีแล้ว ที่หนิงเยี่ยนตัดสินใจหนีออกจากบ้านมาพร้อมกับบ่าวรับใช้คนสนิท เพื่อหวังไปผจญภัยท่องเที่ยวตามแต่ใจตนยัง¬สถานที่ต่าง ๆ ที่อยากไป ในครึ่งปีแรกทั้งสองร่อนเร่ไปทั่วอย่างอิสระ ก่อนที่หนิงเยี่ยนจะเผลอช่วยชีวิตสองพี่น้องตระกูลสำนักคุ้มภัย ที่ประสบเคราะห์ร้ายเอาไว้ได้โดยไม่ตั้งใจ
เรื่องราวในครั้งนั้น ทำให้หนิงเยี่ยนได้ผู้คุ้มกัน ที่ไล่เท่าไรก็ไม่ไปร่วม¬เดินทางไปด้วยเพิ่มมาอีกสองชีวิตอย่างช่วยไม่ได้ จนเวลาผ่านพ้นไปได้แค่สองเดือนเท่านั้น เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับคราวของสองพี่น้องสำนักคุ้ม¬กันภัย ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง และในครั้งนี้คุณชายคนงาม ก็ได้แม่ครัวหญิงที่มีฐานะแท้จริงเป็นถึงนักฆ่าฝีมือร้ายกาจที่ปลดระวางแล้ว ร่วมขบวนการเดินทางมาด้วย ห้าชีวิตร่วมเดินทางไปด้วยกันตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างมี¬อิสระ ตามอย่างที่หนิงเยี่ยนต้องการไม่มีผิด
จนเมื่อหนึ่งปีก่อน ผู้ร่วมเดินทางคนสุดท้ายก็ได้ปรากฏตัวขึ้น หนิง¬เยี่ยนพบเด็กน้อยคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ภายในโรงละครที่ตั้งอยู่ในเมืองซูโจวของแคว้นเทียนอวี่ เด็กชายผู้นี้ดันมีใบหน้าที่คล้ายคลึงตัวเขาถึงราวเจ็ดส่วนได้ และเมื่อตรวจสอบอย่างละเอียด จึงพบว่านอกจากใบหน้าที่เหมือนกันแล้ว เด็กชายยังมีหยกสลัก สัญลักษณ์ของบิดาติดตัวมาตั้งแต่เกิด จึงสามารถยืนยันได้ว่า เด็กชายอายุน้อยผู้นี้คือน้องชายต่างมารดาของเขาเอง
คราแรกผู้เป็นพี่ชายอย่างเขา ตั้งใจจะส่งน้องชายที่ได้มาโดยบังเอิญผู้นี้ กลับคืนไปให้ผู้เป็นบิดาจัดการเอาเอง แต่เมื่อทั้งสองได้มาใช้¬ชีวิตอยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง ก็กลายเป็นเขาเสียเอง ที่ไม่อาจตัดใจส่งหนิงฉีที่¬ยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ ไปเผชิญหน้ากับอันตรายในดงเสือดงจระเข้ได้
หนิงเยี่ยนที่อยู่ในระหว่างหนีออกจากบ้าน จึงจำต้องรับหน้าที่ดูแลหนิงฉีไปก่อน จนกว่าเด็กชายจะสามารถดูแลตัวเองได้
“น้องสิบสาม วันหลังเจ้าไม่ต้องมากินข้าวเช้าเป็นเพื่อนข้าแล้วดี¬หรือไม่” หนิงเยี่ยนมองน้องชาย ที่นั่งตัวสั่นไปกินข้าวไปอย่างรู้สึกสงสาร เขาไม่เข้าใจเลยว่า เด็กน้อยมานั่งทรมานตัวเองในทุก ๆ เช้าเช่นนี้ไปเพื่ออะไร ทั้ง ๆ ที่สำรับอาหารเช้าของพวกเขา ต่างจัดแยกให้ส่งไปที่เรือนของแต่ละคน โดยไม่จำเป็นต้องมานั่งกินข้าวร่วมกันเช่นนี้ก็ได้
“ข้าเหลือท่านเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวนะขอรับ พี่เจ็ดโปรดเห็นใจ ให้ข้าได้ใช้เวลาร่วมกับท่านสักนิดเถิดขอรับ”
หนิงฉีเอ่ยคำที่ฟังดูเหมือนกลั่นกรองมาจากจิตใจออกมา แต่นั่นก็หาใช่เหตุผลทั้งหมด เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เขายอมทนหนาวมาร่วมโต๊ะพร้อมพี่ชายได้ทุกวันนั้น เป็นเพราะอาหารเช้าอันหลากหลาย ที่มีให้เลือกกินมากมายเหล่านี้ต่างหากเล่า ส่วนสำรับอาหารที่จัดไปให้เขา ถึงจะมีรสชาติที่อร่อยล้ำเลิศไม่ต่างกัน แต่จำนวนของกับข้าว กลับน้อยกว่าของพี่ชายไปครึ่งหนึ่ง อีกทั้งแต่ละจานก็ยังไม่ได้หลากหลายเท่า
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาถึงได้ย้ายมากินข้าวเช้าที่นี่แทนยังไงล่ะ แม้ว่าอากาศภายในเรือนพี่เจ็ดจะหนาวเย็นไปสักหน่อย แต่เขาที่มีผิวหนังหนามาตั้งแต่เกิด ย่อมสามารถทนได้อยู่แล้ว
“คำเอ่ยเลื่อนลอยเช่นนี้ เจ้าก็หาอ้างออกมาได้นะ”
คำกล่าวของน้องชายตัวดีฟังไม่ขึ้นเลยสักนิดเดียว เด็กชายเหลือเขาเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวเสียที่ไหนกัน ไม่ใช่ว่าที่บ้านยังเหลือบิดาที่¬ตายยากอยู่อีกผู้หนึ่งหรือ ไหนจะพี่ชายน้องชายอีกเป็นโขยงนั่นล่ะ เจ้าเด็กบ้านี่เก็บเอาไปไว้ที่ไหนกัน ปากเล็ก ๆ นั่น เอ่ยออกมาอย่างหน้าไม่อายว่าอยากใช้เวลาอยู่ร่วมกับเขาให้มาก แต่ตั้งแต่มาถึง เขายังไม่เห็นน้องชายละสายตาไปจากอาหารตรงหน้าเลยแม้สักครู่เดียว
“ข้าเอ่ยจริง ๆ นะ”
“เจ้ารังเกียจอาหารในเรือนตัวเองล่ะสิไม่ว่า”
หนิงเยียนว่าอย่างรู้ทัน เพราะเขาเป็นคนสั่งแม่ครัวไปเองว่า ให้จัดอาหารเช้าของหนิงฉี โดยเน้นอาหารจานผักเป็นหลัก เนื่องจากน้องชายยังเด็ก จึงสมควรจะกินอาหารอย่างครบถ้วนทั้งเนื้อและผัก ส่วนมื้ออื่น ๆ นั้น เขาให้จัดเหมือน ๆ กันทั้งสองเรือน เด็กชายจึงมาวอแวขอกินข้าวด้วยกันกับเขา เพียงแค่มื้อเช้ามื้อเดียวเท่านั้น
