ตอนที่4. ก่อนจะเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้
“ท่านพี่จะรับนางมาพักที่จวนหรือไม่เจ้าคะ”
กั๋วฮูหยินเอ่ยถามสามี ซึ่งนางเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้นอยู่มาก เพราะอย่างน้อยก็จะได้ทำความรู้จักกันบ้าง ก่อนจะเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้
“นางคงต้องอยู่ยังจวนแม่ทัพก่อน เพราะเรื่องนี้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ จนกว่านางจะมาถึงเมืองหลวง”
“ข้าหวังยิ่งนัก ว่านางจะไม่ถูกต้อนรับก่อนเข้าเมืองหลวง” กั๋วเชียวหลางพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มยียวน
“หึ ๆ เจ้าในฐานะว่าที่สามี ถึงสมควรอย่างยิ่งที่จะออกไปรอรับนาง”
“เมื่อครู่ข้าพูดผิดไป เอาเป็นว่านางจะเดินทางมาเป็นภรรยาของข้าอย่างปลอดภัย”
กั๋วเชียวหลางรีบเปลี่ยนคำพูดในทันที เมื่อบิดาคิดจะให้เขาออกไปรอรับนาง ยังนอกเมืองหลวง เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาพาตัวเองไปเป็นเหยื่ออันโอซะ สำหรับคนที่หมายหัวสกุลกั๋วและแม่ทัพสาว
“เจ้าคือว่าที่สามีและบิดาของบุตรในภายหน้า ไยจึงขี้ขลาดกับเรื่องแค่นี้เล่า”
ท่านมหาเสนาบดีรีบจี้ใจดำบุตรชาย อย่างคนที่รู้ทันในเล่ห์เหลี่ยมของกันและกันเป็นอย่างดี
“อีกกี่วันขอรับ”
“ไม่น่าเกินสิบวัน”
“ก็ได้! ข้าเห็นแก่คนชราทั้งสองหรอกนะ ฮ่า ๆ”
กั๋วเชียวหลางเย้าพ่อแม่ ก่อนจะหัวเราะชอบใจ ซึ่งเหล่าหนอนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในบ้านของเขา เพื่อคอยคาบข่าวไปแจ้งนายของมัน คงกำลังขำขันกับความอวดเก่ง ที่เขาแสดงอยู่ในตอนนี้มากทีเดียว
เพราะในสายตาของคนทั่วเมืองหลวง เขาคือตัวไร้ค่าที่ดีแต่อวดตัวไปวัน ๆ อยู่รอดมาได้จนโตก็เพราะอำนาจของบิดา ฝีมือนั้นเทียบไม่ได้กับเด็กสิบขวบเสียด้วยซ้ำ มันคือภาพที่ผู้คนจดจำ และเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้นต่อไป
“มิรู้จักโตเสียที”
กั๋วฮูหยินค้อนบุตรชาย ทว่าใบหน้ากลับมีรอยยิ้มกว้าง ไม่มีสุขใดของพ่อแม่ เท่ากับการที่ลูก ๆ ได้มีครอบครัวเป็นของตนเอง แม้ว่าบางครั้งอาจเลือกตามหัวใจตนเองไม่ได้
นางรู้ดีว่ามันคือแผนการบางอย่างของฮ่องเต้ แต่อย่างไรเสียมันก็คืออีกก้าวหนึ่งในชีวิตของบุตรชาย ส่วนทั้งคู่จะเดินเคียงกันจนแก่เฒ่าหรือไม่นั้น นางอยากให้เวลาและความใกล้ชิดเป็นสิ่งตัดสิน
หากมิใช่คู่วันหนึ่งก็ลาจาก แต่หากเป็นคู่หนุนนำชะตาก็พาเกี่ยวพันมิห่างหาย เหมือนที่นางกับสามีในอดีต แทบมิมองหน้ากันสักครั้ง แต่ความดีของเขา มันแตกต่างจากคำเล่าลือ ที่ผู้คนพูดให้นางได้ยินคนละทิศทางเลยทีเดียว สุดท้ายแล้วทั้งหัวใจของนางก็มอบแก่สามีจนหมดสิ้น
เมื่อการสนทนาในส่วนสำคัญจบลง เปลี่ยนเป็นเรื่องทั่วไปภายในครอบครัว หนึ่งในคนสวนที่อยู่ด้านนอกได้จากไปเช่นกัน และมันเป็นสิ่งที่คนด้านในรั้งรออยู่เช่นกัน
สิบวันถัดมา เมืองอู๋
คณะเดินทางของแม่ทัพสาวได้มาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ที่มันเคยเป็นบ้านของครอบครัวสกุลเกา ซึ่งเป็นสกุลเดิมของมารดามู่อิง
“บ้านเจ้าน่าอยู่ยิ่งนัก คืนนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะทำอาหารเลี้ยงแขกอย่างอิ่มหนำนะมู่อิง”
แม่ทัพสาวงเอ่ยขึ้น ก่อนจะชำเลืองมองไปยังสาวใช้ข้างกาย แน่นอนว่าที่นี่คือบ้านเกิดของมู่อิง แม้ในอดีตเมืองแห่งนี้เสมือนนรกสำหรับมู่อิง แต่อย่างไรเสียมันก็ลบความจริงไม่ได้ ว่าที่นี่คือถิ่นกำเนิด
“เช่นนั้น บ่าวจะเข้าไปจัดเตรียมห้องให้ทุกคนนะเจ้าคะ”
มู่อิงพูดทั้งที่ดวงตายังจ้องมองไปยังหน้าประตูบานใหญ่ มันคือบ้านที่มารดาของนางเติบโตมา จนวันหนึ่งสกุลมารดาเสื่อมอำนาจ มันถูกขายไปและร้างคนอยู่มานานปี
แม้ในที่สุด มันกลับคืนมาเป็นของนางอย่างสมบูรณ์แล้วก็ตามทว่านางยังไม่เคยที่จะได้เข้าไปสำรวจด้านใน ว่ามันเป็นเช่นที่นางเคยจดจำได้หรือไม่
“ให้รองแม่ทัพเจาจัดการเถอะ ส่วนเจ้าไปเดินเล่นกับข้าสักหน่อยเถิด”
“เจ้าค่ะ”
แม่ทัพสาวส่งบังเหียนม้าให้แก่ทหารคนสนิท ก่อนจะเดินนำสาวใช้ไปยังทิศทางของสุสานของเมือง หากจะว่าไปแล้วสกุลมู่หาได้ยากไร้อย่างที่บิดาของมู่อิงกล่าวอ้าง แต่เพราะภรรยาใหม่ไม่อยากให้ลูก ๆ ของตนเองเป็นรองลูกเลี้ยง
จึงหาหนทางกำจัดมู่อิงให้พ้นทาง จากข่าวที่นางให้คนสืบหามานั้น ดูเหมือนว่าครอบครัวสกุลมู่ในตอนนี้ จะตกที่นั่งลำบากมาหลายปีแล้ว เพราะบุตรชายหญิงล้วนทำตัวไร้ค่าไปวัน ๆ งานการไม่ทำทรัพย์เดิมย่อมหมดลงในที่สุด
