ตอนที่3. เกิดใหม่
นางเกิดใหม่และเติบโตในโลกอีกมิติ ต่างจากนิยายที่เคยอ่านก็คงจะเป็น เรื่องที่นางมิได้มาอยู่ในร่างของใคร แต่มาเกิดเป็นคนของโลกนี้ แค่มีความทรงจำในอดีตติดตัวมาเท่านั้น
“เจ้าค่ะ”
มู่อิงรับคำก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสายตาขอสุราจากกาในมือของนางเพิ่ม สองนายบ่าวเดินตรงกลับไปที่ม้า ซึ่งผู้ติดตามทั้งหมดได้เก็บสิ่งของที่ใช้ตอนหยุดพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพื่อความสะดวกในการเดินทาง จึงไม่มีรถม้าเช่นขุนนางอื่น ซึ่งแม่ทัพสาวมองว่า มันคือสิ่งที่ทำให้การเดินทางล้าช้ากว่าที่ตั้งใจ อีกทั้งตัวนางกับมู่อิงหาใช่สตรีบอบบาง ที่ต้องกลัวแดดฝนเฉกเช่นสตรีโดยทั่วไป
แม่ทัพสาวหยุดอยู่ที่พุ่มเหมยกุ้ยสีแดงสด ก่อนจะเด็ดออกมาหนึ่งดอก แล้วยื่นส่งให้แก่สาวใช้คนสนิท แม้ว่ามู่อิงจะห้าวหาญเยี่ยงบุรุษ แต่เนื้อแท้ของมู่อิงยังคงมีความอ่อนโยนเยี่ยงสตรีทั่วไป
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”
“เจ้าเหมาะกับมันกว่าข้ามากนัก อดทนหน่อยมู่อิง มิช้าเจ้าจะได้อยู่เช่นหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่จับตะหลิวมากกว่าดาบ”
“บ่าวมีชีวิตรอดมาได้เพราะนายหญิงทั้งสาม ต่อให้ทั้งชีวิตมิอาจได้จับตะหลิวเช่นสตรีอื่น บ่าวก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ ที่ได้รับใช้ท่านแม่ทัพและนายหญิงทั้งสอง”
มู่อิงรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เพราะในวัยเยาว์นางเกือบถูกขายให้หอนางโลม ด้วยมือของบิดาที่อ้างว่านางคือตัวสิ้นเปลือง ตามคำของมารดาเลี้ยงที่ย้ำเตือนกับบิดามาหลายปี
นางในเวลานั้นทั้งท้อแท้และสิ้นหวัง นายหญิงใหญ่ที่เดินทางมาทำการค้าพร้อมนายหญิงทั้งสอง ได้ขอซื้อตัวนางในตอนที่นางถูกลากไปตามถนน เพื่อไปยังหอนางโลมประจำเมือง
นับแต่นั้นนางได้อยู่เคียงข้างนายหญิงน้อย ซึ่งกลายเป็นท่านแม่ทัพผู้เก่งกาจในวันนี้ เส้นทางสู่เมืองหลวงจำต้องผ่านบ้านเกิดของนาง และมันคงดีไม่น้อยที่จะได้ไปไหว้หลุดศพมารดาสักครั้ง
“หึ ๆ ทุกคนย่อมมีทางเดินของตนเอง เจ้าเหมือนน้องสาวของข้าอีกคน ฉะนั้นข้าจึงอยากเห็นเจ้ามีความสุข”
แม่ทัพสาวยกจอกสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง ก่อนจะส่งยื่นส่งจอกหยกคู่กายให้แก่มู่อิง แล้วเหวี่ยงกายขึ้นนั่งบนหลังม้า
“บ่าวมีความสุขเสมอเจ้าค่ะ”
มู่อิงตอบผู้เป็นนนาย พร้อมเก็บจอกหยกเอาไว้ในกล่องไม้ แล้วใส่ไว้ในถุงหนังสัตว์ที่ห้อยอยู่กับอานม้า
“ไปกันเถอะ”
เมื่อทุกคนอยู่บนหลังอาชาคู่ใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่ทัพสาวได้กระตุ้นให้ม้าออกก้าวเดิน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นวิ่งตะบึงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เมืองหลวง สกุลกั๋ว
กั๋วเชียวหลางนั่งจ้องหน้าบิดาเขม็ง เขามีนับล้านคำที่อยากพูด แต่เมื่อเห็นความแก่ชรา ที่เหมือนจะเพิ่มจากเมื่อหลายวันก่อนของพ่อแม่ ทำให้ทุกคำถูกกลืนหายไปในลำคอเสียสิ้น แต่กระนั้นเขายังไม่อาจจะยอมรับ กับสิ่งที่รับรู้มาอยู่ดี
“ลูกขุนนางมีเพียงข้าเช่นนั้นรึขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง
“แต่ครั้งนี้พ่อเห็นด้วยกับฝ่าบาท” ท่านมหาเสนาบดีตอบบุตรชายด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง
“เห็นด้วย!”
ชายหนุ่มทวนคำบิดาด้วยเสียงอันดัง ก่อนจะมองไปทางมารดาเพื่อขอความคิดเห็น แต่เหมือนมันจะไม่เป็นผล เพราะมารดาเปลี่ยนจากใบหน้าเหมือนกำลังจะตาย เป็นรอยยิ้มแพรวพราวดวงตาไหวระริกอย่างคนได้ของถูกใจ
“ใช่ข้าเห็นด้วย เจ้าสมควรแก่วัยที่จะออกเรือนได้แล้ว อีกอย่างนิสัยร้ายกาจเช่นเจ้า สตรีใดจะคู่ควรกับเจ้าเท่าท่านแม่ทัพหยวน ทั้งแผ่นดินหาไม่ได้แล้วจริง ๆ”
เมื่อบุตรชายติดกับของเขาแล้ว น้ำเสียงและสีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นเริงร่า ใจจริงเขาไม่อยากให้มีการแต่งงานที่มิได้เกิดจากความรัก แต่หากปล่อยโอกาสนี้ไป เขาไม่รู้ว่าอีกสักกี่ปี บุตรชายจะแต่งงานเสียที เขาแก่ชราลงทุกวันอยากเห็นหน้าหลานก่อนตาย
“ตรงไหนที่เรียกว่าร้ายกาจขอรับ”
“ทุกตรงในสายตาของข้า”
การตอบโต้ของสองพ่อลูก ทำให้คนที่ร่วมรับฟังได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา ทว่าด้านนอกห้องนั้นนับเป็นข่าวสำคัญ ที่ต้องนำไปส่งให้แก่ผู้เป็นนาย ซึ่งทำให้พ่อลูกคลี่ยิ้มพอใจ กับสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผย
เพราะสมรสพระราชทานในครั้งนี้ ยังไม่ได้ประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ จะมีเพียงครอบครัวว่าที่บ่าวสาวเท่านั้นที่รับรู้ ฉะนั้นนับว่าเป็นข่าวสารสำคัญสำหรับหลายฝ่าย
