บทที่ 2 เป็นเพียงนางร้ายผู้โง่เขลา
ซ่งลี่หนิงควบม้ากลับจวนสกุลซ่งด้วยความหงุดหงิด รู้สึกโมโหไม่น้อยที่อุตส่าห์ได้ย้อนเวลากลับมา แต่ดันย้อนมาตอนที่นางกำลังแอบดูหมาวไท่จื่อแช่บ่อน้ำพุร้อน แม้ในภพชาติก่อนนางจะไม่ได้ตกลงไปในบ่อน้ำ ทว่าหนนี้นางกลับโดนเขาจับได้เสียอย่างนั้น
เมื่อมาถึงจวนสกุลซ่ง หญิงสาวกระโดดลงจากหลังอาชาตัวใหญ่ใช้มือตบเบาๆที่สะโพกของมันสองสามหน เจ้าม้าตัวใหญ่ก็วิ่งกลับไปที่คอกอย่างแสนรู้
หากแต่ว่าเพียงแค่ย่างกรายเข้ามาในประตูได้เพียงแค่หนึ่งก้าวก็เห็นร่างบางของสตรีที่แสนคุ้นเคยวิ่งตรงเข้ามาหา และในตอนนั้นเองที่นางถูกสตรีผู้นั้นรวบตัวเข้าไปกอด
"หนิงหนิงของแม่ ฮึก แม่นึกว่าจะต้องเสียเจ้าไปตลาดกาลเสียแล้ว" จูลี่จินกอดบุตรสาวไว้แน่นพลางส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
"ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ้าคะ เหตุใดถึงร้องไห้เล่า" ซ่งลี่หนิงรับรู้ได้ถึงความเปียกชุ่มที่หัวไหล่บาง นางยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของมารดาเบาๆอย่างปลอบประโลม รู้สึกปวดใจยิ่งนักที่เห็นมารดาร้องไห้
"เข้าไปคุยข้างในกันเถิด" จูลี่จินผละออกจากบุตรสาว นางใช้มือลูบเรือนผมนุ่มเบาๆ ก่อนจะจับจูงซ่งลี่หนิงให้เดินเข้าไปยังหอนอน
"หนิงหนิงแม่มีความจริงจะบอกให้เจ้าฟัง"
"เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ" ซ่งลี่หนิงเอียงคอมองมารดาอย่างสงสัย ยามนี้นางกับท่านแม่จูลี่จินนั่งอยู่บนเตียงในหอนอนเพียงสองคน หลังจากที่เดินเข้ามาข้างใน ท่านแม่ก็โบกมือไล่สาวใช้ทุกคนออกไปจากห้อง ท่าทางของท่านแม่ดูมีลับลมคมในอยู่มากทีเดียว
"อันที่จริงแล้วชีวิตของพวกเราเป็นเพียงตัวละครในนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น"
"นิยายงั้นหรือเจ้าคะ" หญิงสาวทวนคำอีกครั้งด้วยความแปลกใจ เผลอตัวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในใจมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย
จูลี่จินผงกศีรษะรับก่อนจะเอ่ยต่อ "หากเจ้ายังจำได้ในตอนที่เจ้ามีอายุสี่หนาว แม่พาเจ้าไปซื้อขนมที่ตลาด เจ้าได้วิ่งชนกับชายชราผู้หนึ่งและเขาได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งให้กับเจ้า"
ซ่งลี่หนิงหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสิบสามปีก่อน ยามนั้นนางทะเลาะกับท่านพี่หนานหนานและโดนท่านพ่อซ่งเหวยหนานดุ นางร้องไห้งอแงไม่ยอมหยุด ท่านแม่จูลี่จินจึงบอกว่าหากนางหยุดร้องไห้จะพาไปซื้อขนมที่ตลาด จากนั้นนางได้วิ่งชนกับชายชราผู้หนึ่ง เขากล่าววาจาขอโทษนางและยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้
"ข้าจำได้ว่าตอนนั้นท่านแม่ห้ามไม่ให้ข้ารับหนังสือเล่มนั้นมามิใช่หรือเจ้าคะ"
"ใช่ หากแต่ว่าตอนที่กลับมาถึงจวนแม่เห็นหนังสือเล่มนั้นวางอยู่บนโต๊ะที่หอนอนของแม่"
"...!" ซ่งลี่หนิงเบิกตากว้าง หัวใจเต้นแรงราวกับเจอเรื่องสยองขวัญ มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินบรรยาย
จูลี่จินเงยหน้าขึ้นสบตากับบุตรสาว คว้ามือนุ่มนิ่มมากอบกุมเอาไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"แม่จึงลองเปิดอ่านพบว่าเนื้อหาในนิยายเล่มนั้นตรงกับชีวิตของเราทุกคน แม่คือมารดาของตัวร้าย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเจ้ากับหนานหนานคือนางร้ายและตัวร้ายในนิยาย อันที่จริงหากอิงตามเนื้อหาในนิยาย แม่จะต้องตายด้วยโทษฐานคบชู้ตั้งแต่ตอนที่พวกเจ้ายังเป็นเด็ก หากแต่ว่าสวรรค์ยังคงเมตตาให้แม่ได้มีโอกาสหวนกลับมาแก้ไขเรื่องราวของตน แม่พยายามเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง หันมาดูแลอบรมสั่งสอนพวกเจ้าเพื่อให้เติบโตมาเป็นคนดี ไม่ให้มีจุดจบอันน่าอนาจตามรอยแม่เหมือนในนิยาย"
ยามนึกมาถึงตรงนี้หยดน้ำอุ่นๆเอ่อล้นในดวงตา แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าสุดท้ายแล้ว นางก็ฝืนชะตาไม่ได้อยู่ดี แม้จะไม่ได้สูญเสียซ่งอี้หนาน แต่นางกลับสูญเสียซ่งลี่หนิงไป เพียงเท่านี้จิตใจของคนเป็นแม่ก็เกินกว่าจะทานทนได้แล้ว
"หากข้ากับท่านพี่หนานหนานเป็นตัวร้าย แล้วผู้ใดคือพระเอกนางเอกล่ะเจ้าคะ"
"องค์รัชทายาทหมาวอี้เข่ยกับบุตรสาวสกุลเหมย"
คำตอบของมารดาทำให้ซ่งลี่หนิงตัวชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่อยากยอมรับแต่ก็เลี่ยงความจริงไม่ได้ ที่แท้แล้วนางเป็นเพียงนางร้ายผู้โง่เขลาที่หวังจะได้ครอบครองหัวใจของพระเอกหรอกหรือ แต่ถึงแม้ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายแล้วพระเอกก็ต้องคู่กับนางเอกอยู่ดี
ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก!
"เหตุใดท่านแม่ถึงยอมบอกความจริงกับข้าหรือเจ้าคะ" ความสงสัยยังไม่จางหาย มีหลายเรื่องยิ่งนักที่นางอยากให้มารดาช่วยไขข้อสงสัยให้ ท่านแม่จูลี่จินเก็บงำความลับมานานหลายปี ในภพชาติก่อนท่านแม่ไม่ได้บอกความจริงเรื่องนี้ให้นางฟังด้วยซ้ำไป แล้วไยจึงได้มาบอกเอาตอนนี้เล่า
"นั่นก็เป็นเพราะแม่ได้สูญเสียเจ้าไปแล้วหนหนึ่ง แม่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นกับเจ้าอีก" จูลี่จินบีบมือของบุตรสาวแน่น ริมฝีปากสั่นระริกไปมายามเอื้อนเอ่ย นึกถึงภพชาติก่อนคราใดก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกขาดออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ
"ท่านแม่หมายความว่าท่านแม่ก็ย้อนเวลากลับมาเหมือนข้าหรือเจ้าคะ"
จูลี่จินผงกศีรษะรับเบาๆ
"หลังจากที่เจ้าจากไปในภพชาติก่อน แม่จึงขึ้นไปสวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดบนภูเขาเพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โอกาสเจ้าเหมือนที่เคยให้โอกาสแม่ ไม่นึกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยอมฟังคำขอร้องจากแม่" เอ่ยมาถึงตรงนี้มุมปากบางของนางคลี่ยิ้มออกจากกันบางๆ ตั้งใจว่าจะกลับขึ้นไปสวดมนต์ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกสักเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อเป็นการขอบคุณที่ให้โอกาสบุตรสาวของนาง
"หลังจากที่ข้าตาย ทุกคนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" ซางลี่หนิงถามเสียงแผ่ว ทุกคนที่นางหมายถึงนั้นแน่นอนว่ารวมถึงบุรุษที่ชื่อหมาวอี้เข่ยด้วย
"แม่ไม่รู้เลยลูก แม่รู้แต่ว่าท่านพ่อกับท่านพี่ของเจ้าเสียใจมาก ถึงกับลั่นวาจาว่าจะตามหาคนที่สังหารเจ้ามารับโทษ ส่วนแม่ก็ขึ้นไปสวดมนต์ไหว้พระที่วัดบนภูเขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พอรู้ตัวอีกทีก็ได้ย้อนเวลากลับมาแล้ว"
ซ่งลี่หนิงน้ำตาไหลพราก นางไม่น่างมงายเฝ้าคอยความรักจากบุรุษที่ไม่ได้รักนางเลย เพราะภพชาติก่อนนางเอาแต่วิ่งตามขอความรักจากเขา จนลืมไปว่าข้างกายของนางยังมีท่านพ่อ ท่านแม่และท่านพี่หนานหนานที่รักนางอยู่
"ท่านแม่ ข้าขอโทษนะเจ้าคะ" หญิงสาวโผเข้ากอดมารดา เบะปากร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับตอนเป็นเด็ก
"ไม่เป็นไรหรอกลูก เรื่องมันผ่านมาแล้ว จากนี้ไปเรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันเถิด" จูลี่จินใช้มือลูบศีรษะเล็กของบุตรสาวไปมา ชาตินี้นางไม่ขออะไรนอกเหนือไปจากการที่ไม่ต้องสูญเสียผู้ใดไปเท่านั้นพอ
หลังจากได้รับรู้ความจริงจากมารดา ซ่งลี่หนิงก็นั่งเหม่อลอยอยู่ในหอนอนพลางถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ทางวังหลวงจะประกาศงานมงคลระหว่างหมาวอี้เข่ยไท่จื่อกับบุตรสาวสกุลเหมย ซ่งลี่หนิงเพิ่งรู้ว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว ความเจ็บปวดเสียใจจากการที่โดนคนรักทอดทิ้งกลับมีความสุขใจเข้ามาแทรก แม้หมาวไท่จื่อจะทอดทิ้งนาง แต่อย่างน้อยเขาก็ยังทิ้งสมบัติล้ำค่าไว้ให้นางดูต่างหน้า
หากแต่เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรู้ แม้กระทั่งท่านแม่จูลี่จินก็ยังไม่รู้ เหตุเพราะยามนั้นนางยังไม่พร้อมที่จะบอกผู้ใด ซ่งลี่หนิงตั้งใจว่าเมื่อนางพร้อมนางจะบอกเรื่องนี้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่รับรู้และขอไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองอื่น ให้ไกลจากเมืองหลวงที่สุดเท่าที่จะทำได้
หญิงสาวไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้หมาวไท่จื่อมารับผิดชอบ นางมั่นใจว่าลูกคนเดียวนางเลี้ยงดูไหว นางจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เจ้าก้อนแป้งเอง หากสุดท้ายนางก็ไม่สามารถดูแลรักษาชีวิตของเจ้าก้อนแป้งไว้ได้ แม้กระทั่งชีวิตของนางเองก็เช่นกัน
หากแต่ว่าสิ่งที่ซ่งลี่หนิงสงสัยเป็นอย่างมากนั่นคือว่าผู้ใดคือคนร้ายที่มาสังหารนางในวันนั้น!
นางมั่นใจว่านางไม่เคยมีศัตรูคู่แค้นที่ไหนมาก่อน แล้วใครกันที่บังอาจทำเรื่องชั่วช้าสามานย์สังหารได้แท้กระทั่งสตรีตัวเล็กๆไร้หนทางสู้!
แน่นอนว่าไม่ใช่หมาวไท่จื่ออย่างแน่นอน เพราะก่อนที่จะสิ้นลมนางยังเห็นเขาร้องไห้ให้กับนางอยู่เลย หากจำไม่ผิดนั่นคงเป็นครั้งแรกกระมังที่เห็นชายสูงศักดิ์ผู้นั้นร่ำไห้เสียน้ำตาให้กับนาง
จะมาเสียใจอะไรในตอนที่มันสายเกินไปแล้ว...
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของซ่งลี่หนิง เมื่อบานประตูถูกผลักให้เปิดออกจึงพบว่าเป็นเยว่ฉิงสาวใช้คนสนิทของนางนั่นเอง
"คุณหนูเจ้าขา ซ่งฮูหยินให้มาตามไปทานมื้อเย็นเจ้าค่ะ" เยว่ฉิงเป็นดรุณีน้อยวัยกำดัด ยามนี้นางอายุสิบหก อ่อนกว่าซ่งลี่หนิงหนึ่งปี นางโดนเอามาทิ้งที่ชายป่าตั้งแต่อายุหกหนาว จูลี่จินเกิดความสงสารจึงรับนางมาไว้ดูแล
"ท่านพ่อกับท่านพี่หนานหนานกลับมาแล้วหรือ"
"กลับมาแล้วเจ้าค่ะ" เยว่ฉิงส่งยิ้มให้เจ้านายสาว แม้ว่านายท่านกับคุณชายหนานหนานจะงานยุ่งรัดตัว หากแต่พวกเขาจะหาเวลามาทานมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว
"เช่นนั้นก็ไปเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับทุกคนอยู่พอดี" ร่างบางผุดลุกขึ้นจากตั่งนอน หลังจากนอนคิด นั่งคิด ยืนคิดจนถี่ถ้วนแล้ว ทางเดียวที่นางจะสามารถตัดใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุรุษสูงศักดิ์นามว่าหมาวอี้เข่ยได้นั่นคือ...
นางจะแต่งงาน!
