บท
ตั้งค่า

บทที่ 23 การเค้นความจริงของหยางเฟิ่งเซียน 1/1

สี่พี่น้องพร้อมผู้ติดตามที่นั่งพักยังไม่ทันขยับตัว พวกเขากลับได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังขี่ม้ามาทางลำธารเพื่อหยุดพักการเดินทาง แต่บทสนทนาที่ทุกคนได้ยินกลับสร้างความขุ่นเคือง และเกิดความอาฆาตในใจของทุกคนทันที

“นี่หวนเจิงเจ้าแน่ใจนะว่าข่าวที่ได้รับจากเมืองผู่เถียน เรื่องที่ว่าผู้ที่คิดค้นลวดลายอันวิจิตรงดงามบนผืนผ้าไหม นางย้ายมาอยู่จวนของสามีในเมืองหลวงน่ะ”

หวนเจิงมิได้มองสหายเพียงแค่ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กัวเฉินเจ้าคิดว่าการสืบข่าวของกัวไห่เป็นเรื่องโกหกหรือ เจ้าทำงานร่วมกันมานานหลายปีถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่เชื่อว่าข่าวที่กัวไห่ได้มาเป็นเรื่องจริง”

“เพราะครั้งนี้เจ้ามิได้ไปสืบข่าวด้วยตนเอง จึงคิดว่าข่าวจากสหายเป็นเรื่องโกหกกระมัง กัวเฉินหากเจ้าอยากทำหน้าที่สืบข่าว เหตุใดไม่บอกหัวหน้าตั้งแต่แรกล่ะ” ฉายเกาผู้หมั่นไส้กัวเฉินที่มักจะอวดเก่งอยู่บ่อยครั้ง ถึงกับประชดประชันให้กับท่าที่ของกัวเฉินในเรื่องนี้

“ฉายเกาเจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ข้าพูดเช่นนั้นก็แค่เป็นห่วงกัวไห่ เกรงจะถูกข่าวลวงจากชาวบ้านมิได้มีเจตนาอื่น”

หวนเจิงไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกันเอง เขาจำเป็นต้องหยุดการถกเถียงโดยเร็ว “พอได้แล้ว แยกย้ายกันไปหาหญ้าและพาม้าไปกินน้ำซะ พวกเราจะหยุดพักที่นี่เพียงหนึ่งเค่อ เพราะต้องเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวงก่อนฟ้ามืด”

“ขอรับหัวหน้า /ขอรับ หึ”

ส่วนคนอีกกลุ่มที่อยู่ด้านหลังป่าทึบ สีหน้าแต่ละคนยามนี้บ่งบอกว่า กำลังมีคนยื่นมือเข้ามายุ่งกับตระกูลของมารดา โดยเฉพาะหยางเฟิ่งเซียนที่ถูกพี่ชายจับตัวไว้แน่น

‘หนอยย เจ้าพวกสารเลวคิดจะแย่งชิงสูตรลับของท่านแม่ข้า พวกเจ้าอยากตายไม่เหลือร่างให้ฝังแล้วใช่ไหม’

‘น้องเล็ก ๆ อย่าเพิ่งใจร้อนเลยนะ พวกเราก็โกรธไม่น้อยไปกว่าเจ้าเช่นกัน แต่ข้อมูลเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ เราต้องเค้นเอาชื่อผู้บงการมาให้ได้เสียก่อน จากนั้นกลับไปปรึกษากับท่านพ่อท่านแม่ ว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีหรือไม่’

‘ใช่แล้วเซียนเอ๋อร์อาหรงพูดถูก หากรีบร้อนสังหารพวกมันละก็ เราจะไม่รู้เลยว่าใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เอาเป็นว่าพวกพี่จะไปจับตัวพวกมันเอง แล้วพาตัวมาให้เจ้าไต่สวนเค้นความจริงเป็นอย่างไร เจ้าจะใช้วิธีการทรมานเช่นไรล้วนตามใจเจ้า’

‘ฟู่ ก็ได้เจ้าค่ะ พวกท่านอย่าลงมือจนเชลยเจ็บหนัก ไม่เช่นนั้นข้าคงไต่สวนไม่สนุกกันพอดี’

‘รับคำสั่งขอรับคุณหนูหยาง’

ยามนี้บุรุษเลือดร้อนทั้งเจ็ดคน ได้แยกออกเป็นสองกลุ่มเพื่อล้อมพวกหวนเจิง ที่กำลังนั่งพักจากการเดินทางมาไกล ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ต้องรีบรวมตัวกัน เมื่อเห็นว่ามีแขกมาเยือนโดยไม่ทราบสาเหตุ

พรึบ! พรึบ! ชิ้ง ชิ้ง

หยางซิวหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเย็นชา “หึ ยินดีต้อนรับผู้มาเยือนจากต่างแคว้น”

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร เหตุใดถึงพาคนมาล้อมพวกข้าไว้เช่นนี้ ข้ามั่นใจว่าไม่เคยรู้จักพวกเจ้ามาก่อน” หวนเจิงที่จับดาบในมือไว้แน่น ถามกลับหยางซิวหรงอย่างสงสัย

“ถูกต้องระหว่างพวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่บังเอิญว่าเรื่องที่พวกเจ้าเพิ่งพูดไปมันเกี่ยวกับพวกข้าโดยตรง ดังนั้นข้ากับน้องชายจึงอยากมาทำความรู้จักกับเจ้าเสียหน่อย” ฟงเสวี่ยหลินเป็นผู้ตอบหวนเจิง

ฟงเหยาเหวินที่คอยสังเกตสายตาท่าทางของกลุ่มหวนเจิง เมื่อเห็นว่ากัวเฉินคิดจะขยับตัวก็รีบเอ่ยข่มขู่อีกฝ่ายเสียก่อน

“เจ้าอย่าได้คิดขยับเพื่อหาทางหลบหนี เพราะนอกจากดาบที่อยู่ในมือพวกข้าแล้ว ยังมีอาวุธลับที่สามารถสังหารเจ้าได้ในพริบตา หรือถ้าอยากตายก็ลองดูได้ข้ายินดีใช้มันให้พวกเจ้าได้เห็นเอง”

หวนเจิงที่ยังคิดทบทวนคำพูดของฟงเสวี่ยหลิน ที่เพิ่งบอกว่ามีส่วนเกี่ยวกับผ้าไหม ยิ่งสร้างความสงสัยปนอยากรู้เพิ่มขึ้นไปอีก “พวกเจ้าได้ยินสิ่งที่พวกข้าพูดคุยกันทั้งหมดเช่นนั้นหรือ แล้วพวกเจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลจิน”

“คำตอบที่เจ้าอยากได้มีคนอีกผู้หนึ่ง กำลังรอพบเพื่อต้องการสอบถามเรื่องบางอย่าง และคนผู้นั้นจะเป็นคนตอบคำถามของเจ้าเอง ทุกคนอย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้ ถ้าจับเป็นไม่ได้ก็สังหารทิ้งซะ” หยางซิวหรงไม่อยากให้น้องสาวรอนานไปกว่านี้ มิเช่นนั้นโทสะของนางที่มีคงตามมาเป็นแน่

“ได้เลยอาหรงพวกข้าสองคนคันไม้คันมือมานานแล้ว อาเหวินเจ้าอยากจัดการคนไหนเลือกได้ตามใจ แต่ไอ้ตัวหัวหน้าข้าจองแล้วนะ”

“เหอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าอยากจัดการผู้ใด เช่นนั้นข้าขอจัดการเจ้านั่นก็แล้วกัน ดูท่าทางน่าหมั่นไส้เสียเหลือเกิน”

กัวเฉินเมื่อมีคนมาโอ้อวดความเก่งกาจต่อหน้าตน ยิ่งสร้างความไม่พอใจและกระตุ้นให้มีโทสะได้ง่าย

“หนอยยย คิดจะจับตัวพวกข้าเช่นนั้นหรือ ถ้าพวกเจ้าคิดว่าตนเองมีฝือมือก็เข้ามา อย่ามัวเก่งแต่ปากอยู่เลย”

“ได้ ขอข้าชมฝีมือเจ้าสักหน่อยเถิด ย๊า!”

เมื่อฟงเหยาเหวินหยิบพัดเหล็กของตนขึ้นมา ก็หมุนตัวสะบัดอาวุธลับที่ซ่อนอยู่พุ่งไปหากัวเฉิน แม้อีกฝ่ายจะปัดป้องอาวุธลับได้แต่ฟงเหยาเหวินก็เข้ามาประชิดตัว ต่อด้วยการใช้หมัด เท้า เข่า ศอกอย่างต่อเนื่อง จนกัวเฉินจับทิศทางการต่อสู้ไม่ทัน เขาบาดเจ็บจากการถูกต่อยตีที่จุดสำคัญตามร่างกาย และเป็นคนแรกที่ถูกจับโดยไม่เสียเลือด

ส่วนหยางซิวหรงใช้ดาบสั้นในการจู่โจมฉายเถา เพียงแค่สิบกว่ากระบวนท่าฉายเถาก็ได้แผลลึกไปสามสี่แผล เพราะหยางซิวหรงลงมือรวดเร็วและรุนแรง จนฉายเถาคาดเดาทิศทางไม่ทัน สุดท้ายถูกดาบสั้นของหยางซิวหรงมาจ่อที่คอของตนแล้ว

ทางด้านผู้ติดตามของเจ้านายทั้งสี่คน มิได้เกี่ยงว่าใครต้องจัดการลูกน้องของหวนเจิง เนื่องจากโม่หานกับโม่เหยาขอลงมือเอง และให้หลี่เจินกับจ้าวหยูเตรียมเชือกมามัดคนกลุ่มนี้

ในส่วนของฟงเสวี่ยหลินผู้ใช้ดาบยาว เข้าปะทะกับหวนเจิงที่ฝีมือพอสูสี เพียงแต่ฟงเสวี่ยหลินได้เปรียบหวนเจิงเล็กน้อย ด้วยท่วงท่าการต่อสู้ที่ซูอันได้สอนไว้ตั้งแต่ยังเด็ก

ซึ่งเขานำมันผสมผสานกับวรยุทธ์ ทำให้ฝ่ายหวนเจิงงุนงงกับการออกท่าทาง จึงพลาดการรับมือฟงเสวี่ยหลินไปหลายครั้ง และความคมของดาบในมือฟงเสวี่ยหลิน ก็สร้างบาดแผลฉกรรจ์จนหวนเจิงทรุดลงกับพื้น หากเขายังฝืนต่อสู้อาจตายเพราะเสียเลือดมากได้

“เฮ้อ ข้ายังไม่ทันเหนื่อยเจ้าพวกนี้ก็แพ้เสียแล้ว แต่ก็ดีเซียนเอ๋อร์จะได้ไม่รอนาน ป่านนี้คงรอพวกเราจนเริ่มหงุดหงิดแล้วกระมัง”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel