บทที่ 3 ได้พบหน้ากันอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าฉินม่านอิ๋งจะต้องจากลากับผู้เป็นมารดานานถึงเจ็ดปีแล้ว แต่คนผู้นี้ยังคงฝังอยู่ในห้วงความทรงจำที่แสนจะอบอุ่นของนางอย่างไม่เคยเลือนหายไปจากใจ มีหลายครั้งที่นางเคยฝันถึงรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนโยนของผู้เป็นมารดา แต่แล้วนางก็ต้องสะดุ้งตื่นจากความฝันตามมาด้วยความรู้สึกคิดถึงผู้เป็นมารดาท่วมท้นหัวใจ
“อิ๋งเอ๋อร์…แม่เดินทางมารับเจ้าแล้ว”
หรงเฟยเซียงอ้าแขนออกกว้างเพื่อเตรียมจะเดินไปรับการกอดจากบุตรสาวด้วยความคิดถึง แต่แล้วนางก็ต้องหยุดชะงักลงระหว่างทาง เมื่อมองเห็นว่าบุตรสาวตัวน้อยของตนเดินถอยหลังไปหลบอยู่ทางด้านหลังร่างสูงของบุรุษอ่อนวัยที่กำลังจ้องมองมาที่ตัวนางด้วยสายตาพิจารณา
“ผู้น้อยเว่ยเย่เผิงคำนับท่านอาหญิงหรงขอรับ” เว่ยเย่เผิงค้อมตัวก้มหน้ายกมือขึ้นมาแสดงความคำนับผู้อาวุโสในทันทีเมื่อเขาจดจำได้แล้วว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นใคร
“อ่อ…ที่แท้เจ้าก็คือเว่ยเย่เผิงนี่เอง เจ้าเติบโตขึ้นมากจนอาหญิงจดจำเจ้าไม่ได้แล้ว”
หรงเฟยเซียงพูดกับหลานชายของตนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันหน้ากลับไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของนางว่า
“ท่านพี่! คนผู้นี้คือเว่ยเย่เผิงบุตรชายคนโตของพี่ใหญ่เว่ย เขาเป็นหลานชายตนโตของข้าเองเจ้าค่ะ”
บุรุษร่างสูงที่มีร่างกายกำยำ รอบตัวของเขามีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดากำจายไปทั่ว เขาเดินออกมาจากกลุ่มคนทางด้านหลังของหรงเฟยเซียง เพื่อมุ่งหน้าเดินมาหาบุตรสาวและหลานชายของฮูหยินของตน บนใบหน้าของเขามีหน้ากากสีเงินที่มีลวดลายของปีกอินทรีย์ปิดบังอยู่ครึ่งใบหน้า
แค่เพียงมองเห็นหน้ากากเงิน เว่ยเย่เผิงก็รู้ในทันทีว่าบุรุษผู้นี้เป็นใคร เขารีบทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างอ่อน้อมในทันที “เว่ยเย่เผิงคำนับท่านอาเขย”
“อืม…”
ฉินรุ่ยทำแค่เพียงพยักหน้าและส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนจะปลดหน้ากากสีเงินที่เขาสวมใส่อยู่ครึ่งใบหน้าออก เผยใบหน้าที่ดูหล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์และยังมีส่วนคล้ายคลึงกับฉินม่านอิ๋งถึงแปดส่วน ทำให้คนที่จ้องมองเขาอยู่อย่างเว่ยเย่เผิงถึงกลับสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความรู้สึกแปลกใจ
เว่ยเย่เผิงเคยได้ยินมาบ้างว่าญาติผู้น้องของเขา ฉินม่านอิ๋งมีใบหน้างดงามสะกดใจคนเหมือนกับผู้เป็นบิดาของนาง แต่เขาไม่คิดเลยว่าบนโลกใบนี้จะมีบุรุษคนใดจะมีใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนถึงปานนี้ มิน่าเล่าท่านอาเขยจึงต้องสวมใส่หน้ากากสีเงินปิดบังอำพรางใบหน้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สมกับชื่อเสียงที่แสนจะเกรียงไกรในยามที่เขาอยู่ในสนามรบ
“ม่านอิ๋ง…เจ้าจะไม่ทักทายพ่อและแม่ของเจ้าเลยเชียวรึ เท่าที่พ่อจำได้ เจ้าไม่ใช่เด็กสาวขี้อายที่ต้องคอยทำตัวหลบแอบอยู่ด้านหลังผู้อื่นแบบนี้”
ฉินม่านอิ๋งขมวดคิ้วเรียวงามของนางด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เป็นเวลาเจ็ดปีแล้วที่คนทั้งคู่ปล่อยนางทิ้งเอาไว้ที่นี่ แต่ท่านพ่อของนางช่างดียิ่งนัก เขาเอ่ยกับนางราวกับว่าตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ต้องทอดทิ้งนางเอาไว้ที่นี่แม้แต่น้อย
ฉินม่านอิ๋งเดินออกมาจากด้านหลังของเว่ยเย่เฉินแล้วก้มตัวคำนับฉินรุ่ยและหรงเฟยเซียงด้วยท่าทางไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แล้วพูดกับผู้เป็นบิดาและมารดาของตนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจะแข็งกระด้างเล็กน้อยว่า
“หึ! ผ่านมานานตั้งเจ็ดปีแล้ว ทุกอย่างจึงย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงมิใช่หรือเจ้าคะ ฉินม่านอิ๋งคำนับทักทายท่านพ่อและท่านแม่เจ้าค่ะ นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้พบหน้ากัน ลูกไม่ชอบพบกับคนแปลกหน้าจึงได้แอบหนีไปอยู่ด้านหลังของพี่ชายเว่ย ต้องขออภัยในความเสียมารยาทของลูกเมื่อครู่นี้ด้วยเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างจ้องมองดรุณวัยเยาว์ผู้นี้อย่างเต็มตาอีกครั้ง ซึ่งในยามนี้ริมฝีปากแดงระเรื่อของฉินม่านอิ๋งเผยอขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีอารมณ์แง่งอนอยู่ ดวงตาคู่สวยของนางเปล่งประกายท้าทายกลุ่มคนตรงหน้าอย่างเปิดเผย คิ้วเรียวงามยกขึ้นข้างหนึ่งด้วยท่าทีหยิ่งยโส ทำให้คนมองรู้สึกว่าสาวน้อยคนงามตรงหน้าผู้นี้ ทั้งน่าหมั่นไส้และน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน
หรงเฟยเซียงมองดูมือสองข้างที่ว่างเปล่าของตนก่อนจะแอบถอนหายใจ ถ้าหากเป็นเมื่อเจ็ดปีก่อนฉินม่านอิ๋งในวัยเด็กจะต้องรีบวิ่งมาอยู่ในอ้อมกอดของนางด้วยความตื่นเต้นดีใจไปแล้ว แต่ทว่าวันเวลาเหล่านั้นได้ล่วงเลยผ่านเลยมานานถึงเจ็ดปีแล้ว บุตรสาวของนางจึงไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมอีกต่อไป คำพูดของบุตรสาวเมื่อครู่นี้คล้ายดั่งคมมีดที่คมกริบทิ่มแทงหัวใจของนางในส่วนที่อ่อนนิ่มมากที่สุดไปหนึ่งแผล
ฉินรุ่ยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเสียใจของผู้เป็นฮูหยินของตน เขาจึงเอื้อมมือไปกุมมือข้างหนึ่งของนางเอาไว้แล้วบีบกระชับมือนุ่มข้างนั้นเอาไว้เพื่อเป็นการปลอบโยนและให้กำลังใจ ก่อนจะพูดกับฉินม่านอิ๋งด้วยน้ำเสียงที่เขาคิดว่าอ่อนโยนมากที่สุดแล้ว
“ถึงแม้ท่าทางของเจ้าจะดูไม่ค่อยอยากจะต้อนรับพ่อและแม่สักเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะทักทายบรรดาพี่ชายทั้งห้าคนของเจ้าด้วย พวกเขาอุตส่าห์ลำบากติดตามพ่อกับแม่เดินทางขึ้นเขามู่เทียนเพื่อมารับตัวเจ้าถึงที่แห่งนี้ เจ้าอย่าได้ละเลยน้ำใจที่แสนดีของพวกพี่ชายของเจ้า”
คำพูดของผู้เป็นบิดาเมื่อผ่านหูของฉินม่านอิ๋งแล้วคล้ายดั่งเป็นคำสั่ง ดวงตากลมโตของฉินม่านอิ๋งเปล่งประกายคมกล้าขึ้นมาในทันที แต่เมื่อนางได้ยินว่าเหล่าพี่ชายในสกุลฉินของตนอุตส่าห์ยอมลำบากเดินทางมารับตนที่นี่ด้วยตัวพวกเขาเอง แววตาคมกล้าของนางจึงค่อยอ่อนโยนลง ก่อนจะรีบส่งสายตาจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ทางด้านหลังท่านพ่อและท่านแม่ของตนในทันที
ฉินม่านอิ๋งรู้ดีว่าภายในตระกูลฉินตนเองมีพี่ชายร่วมสกุลฉินถึงหกคน โดยบ้านใหญ่สกุลฉิน มีพี่ใหญ่ฉินอี้เทียน พี่รองฉินเจี้ยนหลง และพี่หกฉินยู่ร์ชิง บ้านรองสกุลฉินมีพี่สามฉินจิ้งอี้และพี่ห้าฉินจิ้งเสียน ส่วนบ้านสามของนางมีพี่สี่ฉินเฉิงหมิง ส่วนนางอยู่ในลำดับที่เจ็ดฉินม่านอิ๋ง
ซึ่งกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของฉินรุ่ยและหรงเฟยเซียง น่าจะขาดแค่เพียงพี่ชายหกฉินยู่ร์ชิงเท่านั้น เพราะเขามีร่างกายอ่อนแอจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ที่จวนตระกูลฉินไม่ได้ไปเข้าร่วมกองทัพเหมือนกับพี่ชายคนอื่นๆ
“ฉินม่านอิ๋งคำนับพี่ชายทุกท่านเจ้าค่ะ”
ฉินม่านอิ๋งคำนับทุกคนด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน นี่จึงดูคล้ายคุณหนูเจ็ดตระกูลฉินผู้เรียบร้อยคนเดิมในสายตาของทุกคน ซึ่งเหล่าคุณชายตระกูลฉินต่างก็ส่งเสียงทักทายน้องสาวตามมารยาทอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คำนับคุณชายฉินทุกท่าน ในยามนี้ท่านปู่และท่านย่าน่าจะรอต้อนรับแขกอยู่ด้านในบ้านแล้ว เชิญทุกคนเข้าไปพักผ่อนด้านในบ้านก่อนขอรับ”
เว่ยเย่เผิงพูดจาต้อนรับแขกก่อนที่เขาจะหันไปสะกิดเตือนญาติผู้น้องต่างสกุลของเขาให้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกให้ดี ซึ่งท่าทางของเขาที่ดูสนิทสนมกับฉินม่านอิ๋งอย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ ทำให้มีสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจ…
