บทที่ 2 รอคอยที่หุบเขเทพซียน
ฉินม่านอิ๋งถูกพามาอยู่ที่หุบเขาเทพเซียนกับท่านตาหรงฉีและท่านยายเว่ยฉางอันนานนับได้เจ็ดปีแล้ว จากเด็กน้อยในวัยห้าขวบปี นางได้เติบโตกลายมาเป็นสาวน้อยในวัยสิบสองปีที่มีใบหน้างดงามสะกดใจคน แต่ทว่าท่านพ่อและท่านแม่ของนางก็ยังคงไม่ได้ทำตามคำสัญญาที่พูดเอาไว้ว่าพวกท่านจะมารับนางกลับจวนตระกูลฉินที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงเสียที
เมื่อสองปีที่แล้วพ่อบ้านใหญ่แห่งจวนแม่ทัพใหญ่ตระกูลฉินนำเสื้อผ้าอาภรณ์รวมไปถึงของกินและของใช้จำนวนมากมายนำมาส่งเหมือนเดิมที่เขาทำมานานหลายปี แต่ในปีนั้นท่านพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลฉินได้พูดบอกกับท่านตาและท่านยายของฉินม่านอิ๋งว่า
“สงครามระหว่างแคว้นซีโจวและแคว้นสุ่ยโจวยังไม่สิ้นสุด นายท่านสามและฮูหยินสามจึงยังไม่สามารถเดินทางมารับคุณหนูเจ็ดเดินทางกลับจวนตระกูลฉินได้ขอรับ แต่ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าฉินผู้เป็นท่านย่าของคุณหนูเจ็ด อยากจะให้ข้าพาคุณหนูเจ็ดเดินทางกลับจวนตระกูลฉิน คุณหนูเจ็ดพร้อมจะเดินทางกลับเมืองหลวงไปกับข้าไหมขอรับ”
ท่านตาหรงฉีพูดตอบคำถามของพ่อบ้านใหญ่ฉินไปว่า “เรื่องนี้ท่านจะต้องถามความสมัครใจของม่านอิ๋ง ข้าและท่านยายของนางยึดถือความสมัครใจของนางเป็นใหญ่ นางจะเดินทางไปกับท่านหรือจะอยู่อาศัยกับพวกข้าต่อ ท่านจะต้องถามความต้องการของนางแล้ว”
พ่อบ้านใหญ่ฉินจึงหันมาพูดกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพว่า “คุณหนูเจ็ด ท่านยินดีจะเดินทางกลับจวนแม่ทัพใหญ่สกุลฉินกับข้าน้อยหรือไม่ขอรับ”
“ท่านพ่อบ้านใหญ่ ตัวข้าผู้เป็นบุตรสาวจำเป็นจะต้องทำตามคำสั่งของท่านพ่อและท่านแม่อย่างเคร่งครัด พวกท่านสั่งข้าเอาไว้ว่าข้าจะต้องรอท่านพ่อและท่านแม่อยู่ที่นี่ห้ามไปที่ใด ข้าจึงจะต้องรอวันที่ท่านพ่อและท่านแม่จะมารับข้าที่นี่ด้วยตัวของพวกท่านเองเท่านั้น”
เมื่อฉินม่านอิ๋งพูดจบ พ่อบ้านใหญ่ของจวนตระกูลฉินมีสีหน้าลำบากใจในทันที ก่อนจะพูดว่า “ถ้าหากข้าน้อยทำตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าไม่สำเร็จ คงจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน”
“ท่านพ่อบ้านใหญ่ มิใช่ว่าข้าอยากจะทำให้ท่านต้องรู้สึกลำบากใจ และข้ายิ่งไม่อยากจะขัดคำสั่งของท่านย่าด้วย แต่คำสั่งของบุพการีย่อมสำคัญที่สุด ดังนั้นท่านพ่อบ้านใหญ่ช่วยนำคำขอโทษของข้ากลับไปบอกกล่าวแก่ท่านย่าแทนตัวข้าด้วยเถิด”
ดังนั้นในปีนั้นพ่อบ้านใหญ่ตระกูลฉินจึงต้องเดินทางกลับไปด้วยสีหน้าผิดหวัง ในปีต่อมาซึ่งก็คือในปีที่แล้วนี้ ท่านพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลฉินได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนที่นี่เหมือนเดิม และเขายังมีคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าฉินว่าให้เธอเดินทางกลับไปเมืองหลวงพร้อมกับพ่อบ้านใหญ่มาเหมือนกับปีก่อนนั้นไม่มีผิด
ฉินม่านอิ๋งพูดปฏิเสธไม่ยินยอมเดินทางกลับจวนแม่ทัพใหญ่ตระกูลฉินเหมือนเดิม หลังจากนั้นเธอก็ได้รับจดหมายทางไกลจากฮูหยินผู้เฒ่าฉิน ท่านเขียนมาตำหนินางว่าเป็นหลานสาวอกตัญญู เป็นเพราะเรื่องนี้จึงทำให้ฉินม่านอิ๋งรู้สึกไม่ดีต่อท่านย่าของตนเอง และมีความรู้สึกว่านางไม่อยากจะเดินทางกลับบ้านของตนเองที่เมืองหลวงเสียแล้ว ความคิดที่ว่าคิดถึงทุกคนที่นั่นก็เริ่มจางหายไปจากใจ
ดังนั้นในวันนี้เมื่อท่านยายของนางมาพูดสั่งให้นางรีบไปเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมตัวต้อนรับแขกจากด้านนอกภูเขา ฉินม่านอิ๋งจึงทำท่าทางเหมือนไม่สนใจและเดินหนีไปฝั่งตรงข้ามของตำแหน่งบ้านอย่างดื้อรั้นในทันที
หุบเขาเทพเซียนแห่งนี้ตัดขาดจากโลกภายนอกเนื่องจากหุบเขาแห่งนี้อยู่จุดสูงสุดของเทือกเขามู่เทียน สภาพอากาศด้านล่างของเทือกเขามู่เทียนค่อนข้างโหดร้ายสำหรับคนธรรมดาทั่วไป และยังมีป่าดิบชื้นปกคลุมอยู่ตรงทางเข้าของเทือกเขามู่เทียน ทำให้คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเดินทางขึ้นมาถึงบนหุบเขาเทพเซียนแห่งนี้ได้
ภายในหุบเขาเทพเซียนมีหมู่บ้านขนาดเล็กตั้งอยู่ล้อมรอบแอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่มีอาชีพเพาะปลูกพืชสมุนไพรที่หายากและมีอาชีพล่าสัตว์ป่านำมากิน นำหนังสัตว์มาแปรรูปเป็นเครื่องนุ่งห่มและทำเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน
เมื่ออากาศด้านล่างของเทือกเขามู่เทียนอยู่ในสภาวะอบอุ่น ลมพายุสงบนิ่ง จะมีคนจากด้านล่างช่วยกันเปิดทางเพื่อเดินขึ้นมายังหุบเขาเทียนซาน บางคนเดินทางขึ้นมาเพื่อค้าขายสมุนไพรและเนื้อสัตว์ บางคนเดินทางมาเพื่อขอร้องให้ท่านตาของนางช่วยรักษาโรคให้
เพราะคนส่วนใหญ่ที่อยู่ทางด้านนอกหุบเขาเทพเซียนมักจะพูดจายกย่องท่านตาหรงฉีของนางว่าเป็นท่านเทพเซียนผู้สูงส่งบ้าง เป็นท่านหมอเทวดาบ้าง แต่ความจริงแล้วท่านตาของนางเป็นผู้สืบทอดวิชาทางการแพทย์ของตระกูลหรง ดังนั้นถ้ามนุษย์ที่ยังเหลือลมหายใจสุดท้ายอยู่ ท่านตาของนางสามารถช่วยยื้อชีวิตของคนเหล่านั้นเอาไว้ได้สำเร็จทุกคน
“อิ๋งอิ๋ง…นั่นเจ้ากำลังจะเดินไปที่ไหน”
มีเสียงของบุรุษคนหนึ่งส่งเสียงเรียกสาวน้อยที่กำลังทำสีหน้าบูดบึ้งเดินมุ่งหน้าไปทางชายป่าทางทิศเหนือของหุบเขาเทพเซียนโดยไม่สนใจจะมองดูคนอื่นเลยแม้แต่น้อย นางจึงไม่เห็นเขาทำให้เขาต้องส่งเสียงเรียกนางแบบนี้
ฉินม่านอิ๋งหันมามองคนที่ส่งเสียงเรียกนางอย่างสนิทสนม เมื่อมองเห็นว่าเขาคือเว่ยเย่เผิง สีหน้าของนางจึงดูดีขึ้นแล้วพูดตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเล็กน้อยว่า
“พี่ชายเว่ย ข้าอยากจะเดินไปดูเจ้าต้าหวงเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าในวันนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าต้าหวงดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“เจ้าไม่ต้องไป พี่ชายเพิ่งจะไปทำแผลให้มันมาเมื่อครู่นี้เอง บาดแผลของเจ้าต้าหวงดีขึ้นมากแล้ว เจ้ารีบกลับบ้านกับพี่ชายเถิด ในเวลานี้เริ่มจะมืดค่ำแล้วเจ้าเดินเข้าไปในป่าผู้เดียวอาจจะมีอันตรายได้”
“ผู้ใดจะกล้ามาทำอันตรายข้าได้”
“อืม…พี่รู้ว่าเจ้าเป็นตัวอันตรายต่อผู้อื่นเสียมากกว่า แต่ในวันนี้ทางเข้าหุบเขาเปิดแล้ว จึงมีคนนอกเดินทางเข้ามาภายในหมู่บ้านและหุบเขาเทพเซียนมากมาย คนภายนอกมีผู้คนหลากหลายรูปแบบ ที่สำคัญคนเหล่านั้นชอบตั้งกระโจมที่พักชั่วคราวอยู่ตรงเขตชายป่าทางด้านนั้น เจ้าอย่าเดินไปทางนั้นอีกเลย”
เมื่อเว่ยเย่เฉิงพูดถึงคนภายนอก ฉินม่านอิ๋งจึงเดินวนกลับมาหาเขาเพื่อคิดจะเดินกลับบ้านพร้อมกับพี่ชายต่างสกุลในทันที เว่ยเย่เฉิงเป็นหลานชายในตระกูลเว่ยของท่านยายเว่ยฉางอัน เขาขึ้นเขามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านตาหรงฉีของนางตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเว่ยเย่เผิงจึงอยู่ที่หุบเขาเทพเซียนแห่งนี้ก่อนที่ฉินม่านอิ๋งจะถูกส่งตัวมาที่นี่เสียอีก
ในยามเป็นเด็กฉินม่านอิ๋งเคยมีเพื่อนเล่นในวัยเยาว์เป็นพี่ชายตระกูลฉินอยู่หลายคน ดังนั้นเมื่อนางย้ายมาอยู่ที่หุบเขาเทพเซียนแห่งนี้จึงสนิทสนมกับพี่ชายต่างสกุลอย่างเว่ยเย่เผิงได้อย่างรวดเร็ว
เจ็ดปีที่ผ่านมานี้นอกจากท่านตาและท่านยายที่ดูแลอบรมสั่งสอนฉินม่านอิ๋งมาอย่างดีแล้ว ก็ยังมีเว่ยเย่เผิงอีกคนที่คอยช่วยดูแลนางและเขายังตามใจนางเป็นที่สุด
เว่ยเย่เผิงเป็นบุรุษหนุ่มน้อยที่มีร่างกายผอมสูง ในเวลาที่เขาหันมาพูดคุยกับฉินม่านอิ๋ง เขาจะต้องก้มหน้าค้อมตัวลงมาเล็กน้อย เพื่อที่น้องสาวต่างสกุลจะได้ไม่ต้องเงยหน้าพูดคุยกับเขาจนรู้สึกเมื่อยคอ และนางก็ไม่ต้องตะเบ็งเสียงพูดจาเสียงดังในการพูดคุยกับเขาอีด้วย ท่าทางการใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ของเว่ยเย่เผิงที่มีต่อฉินม่านอิ๋งดูเป็นธรรมชาติมาก เพราะเขาทำเรื่องราวเหล่านี้จนเคยตัวติดเป็นนิสัยอย่างไม่รู้ตัว
คนทั้งคู่พูดคุยกันในเรื่องการนำพืชสมุนไพรในป่ามาทดลองปรุงยาตำรับใหม่อย่างเพลิดเพลิน จวบจนคนทั้งคู่เดินมาถึงหน้าบ้านจึงมองเห็นเงาคนจำนวนมากมายืนรออยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านที่ฉินม่านอิ๋งพักอาศัยอยู่กับท่านตาและท่านยายมานานถึงเจ็ดปี
คนกลุ่มนั้นต่างพร้อมใจกันยืนมองบุรุษหนุ่มน้อยวัยเยาว์และดรุณีอ่อนเยาว์ที่เดินพูดคุยกันมาตามทางแบบไม่สนใจผู้ใดอยู่นานแล้ว เมื่อคนกลุ่มนี้มองเห็นคนทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ที่รั้วกำแพงบ้านหลังนี้ สีหน้าของทุกคนต่างเปลี่ยนแปลงไปตามความคิดของตัวเอง
มีสตรีนางหนึ่งอยู่ในชุดเสื้อและกางเกงสีดำมีเชือกหนังรัดปลายแขนและปลายขาทำให้การเคลื่อนไหวของนางดูคล่องแคล่วว่องไว และด้วยการแต่งกายที่คล้ายคลึงกับบุรุษส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ จึงทำให้ฉินม่านอิ๋งมองไม่เห็นนางตั้งแต่ทีแรก แต่ทว่าเมื่อแม่นางผู้นี้รีบเดินตรงมาหานางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ฉินม่านอิ๋งถึงกลับเดินผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว และส่งเสียงเรียกแม่นางผู้นั้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อว่า
“…ท่านแม่?”
