บทที่ 4 เหล่าพี่ชายตระกูลฉิน
ภายในบ้านตระกูลหรง ท่านตาหรงฉีและท่านยายเว่ยฉางอันของฉินม่านอิ๋งสวมใส่ชุดค่อนข้างใหม่ทั้งคู่ เพราะพวกท่านเตรียมตัวต้อนรับแขกในวันนี้เอาไว้แล้ว แต่คนทั้งคู่ไม่ได้คิดเลยว่าคนที่มาเยือนที่นี่จะเป็นบุตรสาวและบุตรเขยของพวกเขา อีกทั้งยังมีคุณชายตระกูลฉินทั้งห้าคนติดตามมาด้วย
“ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการเรียกบุรุษทุกคนในตระกูลฉินให้รีบเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงโดยด่วน พี่ใหญ่ของข้าฉินเค่อถือธงของสกุลฉินรวมไปถึงตราแม่ทัพใหญ่มุ่งหน้าเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงแล้วขอรับ”
ฉินรุ่ยพูดเล่าเรื่องราวภายนอกหุบเขาเทพเซียนให้ท่านพ่อตาและท่านแม่ยายของเขาฟังด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งเมื่อฟังคำพูดของฉินรุ่ยผู้เป็นลูกเขยแล้ว หรงฉีมีสีหน้ากังวลใจในทันที
“ศึกภายนอกสงบลง แต่ศึกภายในแคว้นซีโจวคงจะกำลังจะเริ่มขึ้นใช่หรือไม่ ฮ่องเต้จึงได้มีราชโองการเรียกเหล่าแม่ทัพตระกูลฉินให้เดินทางกลับเมืองหลวง ทางตระกูลฉินได้เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้เอาไว้บ้างหรือยัง”
“ลูกเขยขอบอกท่านพ่อตาตามตรง คนในตระกูลฉินทุกคนล้วนแต่ทุ่มเทหยาดเหงื่อทุกหยาดหยดเพื่อปกป้องแคว้นซีโจว จึงไม่ได้เตรียมการป้องกันใดๆ เอาไว้ล่วงหน้าเลยขอรับ”
ฉินรุ่ยถอนหายใจก่อนจะเอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดต่อไปว่า “เนื่องจากแคว้นของพวกเราทำสงครามกับแคว้นสุ่ยโจวมานานถึงเจ็ดปี จึงทำให้ท้องพระคลังในราชสำนักที่อยู่ในความดูแลของฝ่าบาทว่างเปล่า ในขณะที่คลังส่วนตัวของท่านอ๋องและเหล่าองค์ชายทั้งหลายกลับขยายใหญ่เพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทรู้สึกไม่วางพระทัยจึงทรงเรียกคืนกองกำลังทหารกลับของตระกูลฉินกลับมาอยู่ในความดูแลของพระองค์เอง “
“ในเมื่อฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการเรียกพวกเจ้าให้รีบเดินทางเข้าเมืองหลวง พวกเจ้าเปลี่ยนเส้นทางมาที่นี่ก่อนจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” เว่ยฉางอันเอ่ยถามบุตรเขยด้วยน้ำเสียงกังวลใจ
“ท่านแม่ยายไม่ต้องกังวล สิ่งที่ฮ่องเต้ทรงใส่พระทัยคือตราแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ในมือของพี่ใหญ่ของข้า ความจริงแล้วพี่ใหญ่ของข้าเป็นคนสั่งข้าเองว่าให้พาหลานชายทั้งหลายมาเปิดหูเปิดตาในดินแดนอื่นเสียบ้าง เพราะตั้งแต่เล็กจนโตพวกเขาอยู่แต่ในสนามฝึกซ้อมภายในจวนแม่ทัพฉิน หรือไม่ก็ต้องต่อสู้กับข้าศึกที่สนามรบเท่านั้น”
“ใช่แล้วค่ะท่านพ่อท่านแม่ เด็กหนุ่มเหล่านี้เมื่อกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว ยังไม่รู้ว่าแต่ละคนจะต้องไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์อะไรบ้าง การที่ข้าและสามีพาเขามาที่นี่เพื่อพาพวกเขามาพบกับประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตก่อนเป็นการอุ่นเครื่องเจ้าค่ะ”
หรงฉีส่งเสียงหัวเราะหึหึในลำคอก่อนจะพูดว่า “หุบเขาเทพเซียนแห่งนี้สงบสุข ไม่มีสิ่งใดให้พวกเขาอุ่นเครื่องนะสิ ที่สำคัญพวกเขาผ่านสนามรบมาแล้ว น่าจะเคยผ่านความเป็นความตายกันมาก่อนแล้วจะยังต้องการอุ่นเครื่องอะไรได้อีก”
เมื่อหรงฉีพูดจบเขาก็หันไปมองดูเหล่าคุณชายของตระกูลฉินทั้งห้าคนด้วยสายตาพิจารณาอย่างจริงจัง
คุณชายใหญ่ฉินอี้เทียน เป็นบุรุษหนุ่มที่มีหน้าตาขึงขังจริงจัง แววตาของเขาเคร่งขรึมจ้องมองทุกสิ่งรอบกายด้วยท่าทางระแวดระวังไม่ผ่อนคลายตัวเองแม้แต่น้อย เขามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำและรอบกายยังมีรัศมีแห่งการฆ่าฟันมีกลิ่นคาวเลือดที่แสนจะเข้มข้นติดกาย เขาจึงดูเหมาะสมมากที่สุดแล้วที่จะทำหน้าที่เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของตระกูลฉินคนต่อไป โดยเขาจะสืบทอดตำแหน่งนี้ต่อจากฉินเค่อผู้เป็นบิดาของเขา
คุณชายรองฉินเจี้ยนหลง เขาเป็นบุรุษหนุ่มที่มีหน้าตาสง่างามราวกับหยก ใบหน้าของเขาเรียวยาวดวงตาคมคิ้วเข้ม ขนตายาวเป็นแพรหนา ริมฝีปากสีแดงดุจหยาดโลหิต เขามีสีผิวขาวเหลืองดั่งถูกฉาบทาด้วยทอง รูปร่างของเขาสูงเพรียวดูผอมบางกว่าผู้เป็นพี่ชายใหญ่ของเขาเป็นอย่างมาก สิ่งที่ดูโดดเด่นบนใบหน้าของคุณชายรองผู้นี้ก็คือเขามีดวงตาที่เรียวยาวนัยน์ตาดำของเขาดูเยือกเย็นและคมกริบ เขาดูมีรัศมีเรืองรองของผู้ที่มีอำนาจวาสนามากกว่าคุณชายทุกคนในที่นี้
คุณชายสามฉินจิ้งอี้ เขาเป็นบุรุษหนุ่มที่มีหน้าตาดีแม้ไม่อาจจะนำไปเปรียบเทียบกับคุณชายรองฉินได้ แต่เขาก็มีเสน่ห์ตรงรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนริมฝีปากอยู่ตลอดเวลา ดวงตาของเขามีแววกระจ่างใสดูไร้เล่ห์เหลี่ยมจริงใจ แต่ทว่าเขาก็มีท่าทางของคนฉลาดเฉลียวไม่ยอมจะตกเป็นเบี้ยล่างของใคร เขามีรัศมีของนักปราชญ์เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญา สมแล้วที่เขาเป็นบุตรชายคนโตของฉินคัง รองอัครเสนาบดีแห่งแคว้นซีโจว
คุณชายสี่ฉินเฉิงหมิง เขาเป็นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้างดงามอ่อนช้อย ถ้าหากเขาแต่งกายเป็นผู้หญิงจะต้องมีชายหนุ่มมาตกหลุมรักเขาอย่างแน่นอน ดวงตากลมโตหวานซึ้งของเขาดูเหมือนกับหรงเฟยเซียงผู้เป็นมารดาของเขาไม่มีผิด ผิวของเขาก็ขาวเนียนละเอียดทั้งๆ ที่เขาพยายามตากแดดตากลมผิวของเขาก็ไม่ได้ดูหม่นหมองแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากใครที่รู้จักฉินเฉิงหมิงจริงๆ จะรู้กันดีว่าเขาไม่ได้มีนิสัยดีเหมือนกับหน้าตา เขามีรัศมีของนักสู้ไม่ชอบความพ่ายแพ้และมีนิสัยใจร้อนและปากร้ายชอบพูดจาทิ่มแทงจิตใจผู้อื่นเก่งกาจมากที่สุด
คุณชายห้าฉินจิ้งเสียน คือบุรุษหนุ่มที่ดูอ่อนวัยมากที่สุดในเหล่าคุณชายตระกูลฉินเขามีรอยยิ้มที่สดใส ดูเป็นมิตรและมีไมตรีต่อคนแปลกหน้า ทั้งหน้าตาและคำพูดของเขาบ่งบอกได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้รักอิสรเสรี ไม่ชอบทำอะไรตามกรอบประเพณีสักเท่าไหร่ เขามีรัศมีของนักการทูตเก่งกาจในเรื่องการเจรจา และในวัยเด็กฉินม่านอิ๋งชอบเล่นกับพี่ชายห้าผู้นี้มากที่สุดแล้ว เพราะเขามักจะพานางไปเล่นสนุกภายในจวนตระกูลฉินแทบจะทุกวัน
ในระหว่างที่พวกผู้อาวุโสนั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่นั้น คุณชายห้าฉินจิ้งเสียนก็เดินยิ้มแย้มมาหาฉินม่านอิ๋งที่นั่งอยู่ใกล้กับเว่ยเย่เผิงแล้วพูดถามว่า
“อิ๋งอิ๋ง เจ้าอย่าบอกพี่ชายนะว่าเจ้าจดจำพี่ชายห้าไม่ได้แล้ว รู้ไหมเมื่อครู่นี้ในยามที่เจ้าเดินพูดคุยมากับพี่เว่ย แค่พี่ชายมองดูเจ้าอยู่ในระยะไกลพี่ชายก็จดจำได้แล้วว่าเจ้าคืออิ๋งอิ๋ง”
ฉินม่านอิ๋งส่งยิ้มกว้างไปให้ฉินจิ้งเสียนแล้วพูดว่า “ความจริงแล้วพี่ชายห้าดูเปลี่ยนแปลงไปน้อยกว่าคนอื่นแล้ว เดี๋ยวนี้พี่ชายห้ายังชอบเล่นการพนันอยู่ไหมเจ้าคะ”
“…อื้อ…คำถามนี้ของเจ้าบ่งบอกว่าเจ้ายังไม่ลืมพี่ชายห้าคนนี้ แต่ทำไมพี่ชายจึงไม่รู้สึกดีใจเลย”
คุณชายสี่ฉินเฉิงหมิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าจะรู้สึกดีใจได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องที่น้องเจ็ดจดจำได้คือหนึ่งในนิสัยเสียของเจ้า”
ฉินจิ้งเสียน “…”
ฉินม่านอิ๋งปิดปากหัวเราะชอบใจและแอบคิดในใจว่าพี่ชายสี่ของนางก็ยังคงมีฝีปากร้ายเหมือนเดิม เขาไม่ได้มีนิสัยเปลี่ยนไปจากเมื่อเจ็ดปีที่แล้วอย่างที่นางคาดคิดเอาไว้ แต่การที่นางได้พูดคุยกับพี่ชายแบบนี้นางรู้สึกมีความสุขใจเหลือเกิน เพราะเหมือนกับว่าตนเองได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
