บทที่ 1 การพลัดพราก
ทุ่งหญ้าเขียวขจีตัดกับท้องฟ้าที่แสนจะสดใสเหล่าสกุณาส่งเสียงร้องก้องกังวานราวกับดนตรีที่แสนจะไพเราะ ถ้าหากมีใครสังเกตดูให้ดีจะมองเห็นร่างของดรุณีที่แสนงดงามผู้หนึ่งนอนเล่นอยู่บนผืนหญ้า นางเงยหน้าขึ้นเพื่อจ้องมองท้องฟ้าที่แสนจะกว้างใหญ่ด้วยดวงตากลมโตที่แสนจะดูงดงามยากจะหาผู้ใดมาเทียบเคียงได้
“ม่านอิ๋ง! เจ้าแอบหลบมานอนเล่นอยู่ที่นี่เองหรือ ยายเดินตามหาเจ้าอยู่ตั้งนาน”
เสียงมีเมตตาที่ฉินม่านอิ๋งคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังผ่านหูของนางและปลุกให้สาวน้อยอย่างนางที่นอนเล่นอยู่บนผืนหญ้าแบบปล่อยกายปล่อยใจสะดุงตื่นจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
“ท่านยาย ตามหาหลานมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“วันนี้ยายอยากจะให้เจ้ารีบกลับเข้าบ้านให้เร็วหน่อย แล้วเปลี่ยนไปสวมใส่ชุดตัวใหม่ทำทรงใหม่เพื่อเตรียมตัวต้อนรับแขก เจ้าอย่าลืมสิในวันนี้หุบเขาเทพเซียนเปิดให้คนภายนอกเข้ามา จึงน่าจะมีคนจากข้างนอกเข้ามาเยี่ยมเยือนพวกเราในวันนี้”
ฉินม่านอิ๋งยกมุมปากยิ้มเยาะเย้ยตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า “ก็แค่คนของตระกูลฉินมาทำหน้าที่ส่งของกินและของใช้ให้แก่พวกเราเหมือนกับปีก่อนๆ หลานเคยชินเสียแล้วไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นเตรียมตัวอะไรนี่เจ้าคะ”
เด็กสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจแล้วจึงลุกขึ้นยืนบิดเนื้อบิดตัวเพื่อยืดเส้นยืดสาย ไม่ได้เร่งรีบเดินกลับบ้านตามที่ท่านยายของนางพูดออกคำสั่งเมื่อครูนี้
เว่ยฉางอันยืนมองดูหลานสาวเพียงคนเดียวของตนด้วยสายตารักใคร่ และแอบทอดถอนใจเพราะรู้ดีว่าหลานสาวของตนกำลังพูดจาประชดประชันไปถึงบุตรสาวและบุตรเขยของตนเองอยู่
ท่าทางของหลานสาวทำให้เว่ยฉางอันหวนคิดไปถึงเรื่องในอดีตเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว บุตรสาวของนางหรงเฟยเซียงและบุตรเขยฉินรุ่ย ได้พาฉินม่านอิ๋นผู้เป็นบุตรสาวของพวกเขาที่มีอายุเพียงห้าขวบมาส่งยังหุบเขาเทพเซียน เพื่อมาขอให้นางและหรงฉีช่วยเลี้ยงดูเด็กน้อย เนื่องจากพวกเขาจะต้องไปเข้าร่วมกองทัพไม่สามารถพาเด็กน้อยที่มีอายุเพียงห้าขวบติดตามไปด้วยได้
ในปีนั้นเว่ยฉางอันจดจำได้เป็นอย่างดีว่าฉินม่านอิ๋งหลานสาวที่มีท่าทางอ่อนหวานน่ารัก ผู้ใดพูดสิ่งใดหลานสาวมักจะทำตามอย่างเชื่อฟัง ได้กลายร่างเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจตนเองร่ำไห้เสียงดังและพูดจาตัดพ้อบิดามารดาของนางด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า
“ท่านพ่อและท่านแม่มีใจลำเอียง รักแค่เพียงพี่ชายไม่รักบุตรสาวอย่างลูก จึงได้พาพี่ชายไปเข้าร่วมสงครามแล้วคิดจะทิ้งลูกเอาไว้ที่นี่”
“อิ๋งเอ๋อร์เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล มีพ่อแม่คนไหนบ้างจะไม่รักลูก ใช่แล้ว…แม่มีใจคิดลำเอียงจึงไม่อยากจะพาลูกสาวไปทนลำบากในกองทัพด้วย แต่กลับพาพี่ชายของลูกไปเผชิญหน้ากับความยากลำบากในกองทัพ เจ้ามาอยู่กับท่านตาและท่านยายที่นี่มีความสะดวกสบายมากกว่า เจ้าจงเชื่อฟังทุกเรื่องที่พวกท่านสั่งสอน อย่าดื้อดึงรอคอยวันที่สงครามสิ้นสุด เมื่อหุบเขาเทพเซียนเปิด พ่อกับแม่เสร็จสิ้นภารกิจแล้วจะรีบกลับมารับลูกที่นี่”
หรงเฟยเซียงพูดสั่งสอนบุตรสาวด้วยน้ำเสียงทั้งปลอบใจทั้งตำหนิไม่ให้บุตรสาวเอาแต่ใจตนเอง เพราะเรื่องทุกอย่างไม่สามารถได้ดั่งใจไปทุกเรื่อง ในขณะที่ฉินรุ่ยหันมาคำนับพ่อตาและแม่ยายของตนแล้วพูดจาขอร้องว่า
“ข้าผู้เป็นลูกเขยขอรบกวนท่านพ่อตาและท่านแม่ยายให้ช่วยเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนม่านอิ๋งด้วยขอรับ ข้าและฮูหยินไม่อาจจะทำใจพาม่านอิ๋งไปเข้าร่วมกองทัพด้วยได้ แต่จะให้ทิ้งนางเอาไว้ที่จวนแม่ทัพใหญ่ตระกูลฉิน ข้าและฮูหยินก็ไม่อาจจะรู้สึกวางใจได้ ประจวบกับถึงช่วงเวลาที่หุบเขาเทพเซียนเปิดทางพอดี ข้าและฮูหยินจึงต้องดั้นด้นพาม่านอิ๋งมารบกวนท่านพ่อตาและท่านแม่ยายแล้ว”
หรงฉีมองไปยังหลานสาวที่กำลังร้องไห้โวยวายอยู่กับบุตรสาวของเขาและเอ่ยถามบุตรเขยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“อืม…แล้วฉินเฉิงหมิงล่ะ พวกเจ้าจะพาเขาเข้าร่วมกองทัพด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว บุตรเขยและฮูหยินตัดสินใจร่วมกันว่าจะพาเขาไปเข้าร่วมกองทัพด้วย อาหมิงเป็นบุตรชาย เขาจึงสมควรจะได้ไปฝึกฝนตนเองในกองทัพได้แล้วขอรับ”
“แต่อาหมิงเขาเพิ่งจะมีอายุเพียงเจ็ดปีเองนะ” เว่ยฉางอันอดที่จะเอ่ยประท้วงบุตรเขยด้วยน้ำเสียงไม่เห็นด้วยไม่ได้
“ท่านแม่ยายไม่ต้องเป็นห่วงอาหมิง เขาได้เรียนรู้วรยุทธจากบุตรเขยมาตั้งแต่เขามีอายุเพียงสามขวบเท่านั้น บุรุษในตระกูลฉินล้วนแต่จะต้องฝึกฝนตนเองอย่างหนักเพื่อที่จะรับภาระอันยิ่งใหญ่ในวันหน้าได้ ยิ่งอาหมิงได้ไปฝึกฝนตนเองอยู่ในกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย เขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น”
ฉินรุ่ยพูดสนทนากับผู้เป็นบิดาและมารดาของหรงเฟยเซียง อยู่นานพักใหญ่ ในขณะที่หรงเฟยเซียงกำลังพยายามพูดปลอบใจบุตรสาวอย่างฉินม่านอิ๋งอย่างเต็มที่…
เหตุการณ์ในวันนั้นแม้จะผ่านมานานถึงเจ็ดปีแล้ว แต่เว่ยฉางอันยังคงจดจำเสียงร้องไห้ราวกับคนที่หัวใจสลายของฉินม่านอิ๋งได้เป็นอย่างดี และการจากลา การพลัดพรากจากบิดาและมารดาของนางในปีนั้นทำให้หลานสาวที่แสนจะอ่อนโยนมีนิสัยเปลี่ยนไป
แม้หลานสาวจะปากแข็งพูดว่าถ้าท่านพ่อและท่านแม่ของนางเดินทางมารับตามที่เคยให้สัญญาเอาไว้ ตนเองจะไม่ยอมกลับไปเมืองหลวงอีก แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่หุบเขาเทพเซียนเปิดรับให้คนภายนอกให้สามารถเดินเข้ามาในหุบเขาได้ ฉินม่านอิ๋งมักจะไปยืนแอบอยู่ตรงทางเข้าของหุบเขา เพื่อรอดูว่าบิดามารดาของนางจะเดินทางมารับนางในวันที่หุบเขาเปิดหรือไม่
แต่วันเวลาจะผ่านมาเจ็ดปีแล้ว ทั้งฉินรุ่ยและหรงเฟยเซียงยังไม่เคยเดินทางมายังหุบเขาเทพเซียนอีกเลย มีเพียงคนของตระกูลฉินนำของกินและของใช้มากมายมาส่งให้คนที่หุบเขาเป็นประจำทุกปีเท่านั้น…
ฉินม่านอิ๋งต้องรู้สึกผิดหวังมานานหลายปี เมื่อสองปีที่แล้วนางจึงไม่ได้ไปยืนเฝ้าที่ทางเข้าหุบเขาเทพเซียนอีกเลย…
