บทที่ 6 รู้สึกเหมือนถูกไล่
ฉินม่านอิ๋งไม่ได้รู้สึกน้อยใจผู้เป็นบิดามารดาที่ไม่ได้มาเยี่ยมตัวนางที่หุบเขาเทพเซียนแห่งนี้นานถึงเจ็ดปีเพียงอย่างเดียว แต่นางรู้ว่าถ้าหากตนเองเดินทางลงจากหุบเขาเทพเซียนแห่งนี้ไปแล้ว ท่านตาและท่านยายคงจะเงียบเหงาอยู่ที่นี่ เพราะจะไม่มีเด็กสาวอย่างนางคอยป้วนเปี้ยนก่อกวนสร้างเรื่องกวนใจให้แก่พวกท่านอีกต่อไป ทั้งท่านตาและท่านยายคงจะรู้สึกไม่อยากให้หลานสาวอยู่ห่างไกลจากพวกท่านอย่างแน่นอน
แต่ทว่าในเช้าวันต่อมาฉินม่านอิ๋งตื่นยามเช้าเพื่อออกมาเดินเล่นตามปกติ เธอได้พบกับท่านตาที่เนื้อตัวเปียกชุ่มจากหยาดน้ำค้างยามเช้า ท่านตาหรงฉีหยุดยืนพูดกับหลานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เจ้าตัดสินใจคิดได้หรือยังว่าตัวเจ้าจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงกับพ่อและแม่ของเจ้า”
“ท่านตาเจ้าคะ หลานเป็นห่วงว่าท่านตาและท่านยายจะเงียบเหงาถ้าหากหลานลงจากเขาเทพเซียนไปกับท่านพ่อและท่านแม่เจ้าค่ะ”
“อ่อ…เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง เจ้าจึงพูดยืนยันว่าจะอยู่ที่นี่กับตาและยายให้ได้ เจ้าวางใจเถิดตาและยายไม่ได้รู้สึกเงียบเหงามานานกว่าเจ็ดปีแล้ว พวกข้าอยากจะรู้สึกถึงความเงียบเหงากันบ้าง”
ฉินม่านอิ๋ง “…”
“ฮ่าๆ ตาแค่พูดเย้าแหย่เจ้าเล่นเท่านั้น ในช่วงนี้ตระกูลฉินไม่ค่อยจะปลอดภัยนัก สถานการณ์ในเมืองหลวงของตระกูลฉินในยามนี้ คล้ายดั่งเป็นเชื้อไฟที่พร้อมลุกไหม้ถ้าหากมีใครนำไฟมาจุดเผา เจ้าเดินทางไปช่วยเหลือพวกเขาทางด้านนั้นเถิดไม่ต้องรู้สึกเป็นห่วงตากับยายทางนี้”
“ในเมื่อที่จวนตระกูลฉินกำลังมีอันตราย ท่านตายังคิดจะส่งหลานกลับไปที่นั่นอยู่อีกเหรอเจ้าคะ ปีนี้หลานมีอายุแค่เพียงสิบสองปีเท่านั้น ท่านตาไม่รู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของหลานบ้างหรือเจ้าคะ”
เมื่อฉินม่านอิ๋งเอ่ยถามท่านตาของตนด้วยน้ำเสียงแง่งอนแบบนี้ ท่านตาหรงฉีของนางจึงหันมาปรายตามองผู้เป็นหลานสาวของเขาด้วยแววตาประเมินมอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า
“คนอย่างเจ้าเป็นตัวอันตรายต่อผู้อื่นเสียมากกว่า เจ้าอย่ามาเสียเวลาแสร้งทำตัวเป็นคุณหนูอ่อนแอต่อหน้าข้าอยู่เลย เจ็ดปีที่ผ่านมานี้ข้ารู้ซึ้งแล้วว่าแขนงแรงกว่าหน่อมันเป็นอย่างไร จากเดิมข้าเคยคิดว่าแม่ของเจ้าสร้างเรื่องวุ่นวายเก่งมากที่สุดแล้ว แต่เจ้าผู้เป็นลูกสาวกับสร้างเรื่องได้ร้ายแรงมากกว่ามารดาของเจ้าเสียอีก”
“…ท่านตา! ข้ารู้สึกลังเลใจไม่อยากจะลงเขาเพราะกลัวว่าท่านตาจะรู้สึกเหงาใจด้วยความคิดถึงข้าเสียอีก หึ! ข้าจะไม่พูดกับท่านตาแล้ว ข้าจะเดินไปหาท่านยายที่เรือนไผ่หยกดีกว่า”
ฉินม่านอิ๋งพูดกับท่านหมอเทวดาหรงฉีด้วยน้ำเสียงแง่งอน ก่อนจะเดินหนีท่านตาของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้อาวุโสแอบถอนหายใจแล้วพูดบ่นว่า “ข้าก็แค่อยากจะส่งหลานสาวตัวดีแบบเจ้าไปให้ยายเฒ่าตระกูลฉินรู้สึกปวดหัวเสียบ้าง หุบเขาเทพเซียนแห่งนี้จะได้กลับมาสงบสุขเสียที…”
ฉินม่านอิ๋งเปลี่ยนใจไม่ไปเดินเล่นริมสระน้ำศักดิ์สิทธิ์กลางหมู่บ้านแบบที่ตนเองชอบทำ แต่นางเดินย้อนมาที่เรือนไผ่หยกซึ่งเป็นเรือนพักส่วนตัวของของท่านตาและท่านยายด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย เพราะตัวนางคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าท่านตาต้องคิดอยากจะรั้งตัวหลานสาวอย่างนางเอาไว้ที่นี่ ไม่อาจทำใจปล่อยนางให้เดินทางลงจากหุบเขาเทพเซียนแห่งนี้ได้ แต่ที่ไหนได้…ท่านตากลับมีท่าทางอยากจะให้นางรีบเดินทางลงไปจากหุบเขาเทพเซียนแห่งนี้อย่างปิดเอาไว้ไม่มิด
เมื่อฉินม่านอิ๋งเดินเข้ามาภายในเรือนไผ่หยก นางมองเห็นว่าท่านยายของตนกำลังรื้อของภายในตู้นำออกมาวางเรียงไว้ทางด้านนอก นางจึงเอ่ยถามท่านยายด้วยความรู้สึกสงสัย
“นี่ท่านยายกำลังทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
“อิ๋งเอ๋อร์ เจ้ามาก็ดีแล้ว เจ้ามาเลือกดูว่าเจ้าชอบเครื่องประดับของยายที่เก็บเอาไว้ในกล่องนี้บ้างหรือไม่ ถ้าหากเจ้าชอบชิ้นใดยายจะมอบให้แก่เจ้า”
เว่ยฉางอันเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยแห่งแคว้นซีโจว ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นแห่งนี้ ดังนั้นเครื่องประดับที่เว่ยฉางอันนำออกมาอวดหลานสาวจึงล้วนแต่เป็นของล้ำค่า เครื่องประดับส่วนใหญ่เป็นการสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษในตลาดทั่วไปจึงไม่มีขาย
“เครื่องประดับเหล่านี้สวยมากทุกชิ้นเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านยายนำมันออกมามอบให้แก่หลานทำไมหรือเจ้าคะ”
“อีกสองวันเจ้าจะต้องลงจากเขาแล้ว การไปอยู่ในเมืองหลวง ตัวเจ้าจะต้องไปร่วมงานชุมนุมกับบรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ดังนั้นตัวเจ้าควรจะมีเครื่องประดับล้ำค่านำติดตัวไปด้วย เมื่อยามที่เจ้าออกจากจวนตระกูลฉินไปร่วมงานเลี้ยงเจ้าจะได้ไม่รู้สึกน้อยหน้าผู้ใด”
“ผู้ใดบอกกับท่านยายว่าข้าจะเดินทางลงจากเขาเทพเซียนหรือเจ้าคะ เมื่อวานนี้ข้าเคยพูดกับท่านพ่อและท่านแม่แล้วว่าจะอยู่กับท่านตาและท่านยายที่หุบเขาเทพเซียนแห่งนี้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอันหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เริ่มจะมีความรู้สึกน้อยใจของหลานสาว ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและพูดกับหลานสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า
“ฉินม่านอิ๋ง ยายเคยสอนเจ้าเอาไว้ว่าอย่างไร เรื่องทุกอย่างเจ้าไม่สามารถทำตามแต่ใจของตนเองได้ ทุกคนย่อมจะมีภาระหน้าที่มีความรับผิดชอบที่จะต้องทำ ตัวเจ้านอกจากจะเป็นหลานของตากับยายแล้ว เจ้ายังมีฐานะเป็นคุณหนูเจ็ดของจวนตระกูลฉินด้วย”
“ข้าคือคุณหนูเจ็ดตระกูลฉิน มีภาระหน้าที่อะไรที่ต้องทำหรือเจ้าคะท่านยาย”
“เจ้าก็มีหน้าที่รักษาชื่อเสียงที่แสนจะดีงามของกุลสตรีแห่งสกุลฉินเอาไว้ ตัวเจ้ายังมีท่านย่าที่ควรจะกลับไปแสดงความกตัญญูในฐานะหลานสาว ตัวเจ้ามีท่านลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ใหญ่และท่านลุงรอง ป้าสะใภ้รอง เป็นผู้คนที่เจ้าควรจะกลับไปเยี่ยมเยียนคนเหล่านั้น ยังมีท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้า ที่ผ่านมาพวกเขาย่อมจะคิดถึงเจ้ามาก อยากจะใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันกับเจ้าจนกว่าเจ้าจะถึงเวลาแต่งงานออกเรือน ดังนั้นเจ้าเดินทางไปจวนตระกูลฉินเถิด เพราะที่นั่นคือบ้านที่แท้จริงของเจ้า”
“นี่ท่านยายกำลังจะพูดว่าบ้านตระกูลหรงแห่งนี้ไม่ใช่บ้านของข้าหรือเจ้าคะ ท่านตาเพิ่งจะพูดไล่ข้าให้เดินทางลงจากเขา นี่ท่านยายก็จะไล่ข้าให้ไปจากที่นี่อีกคนแล้วใช่ไหมเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอันวางมือจากสิ่งที่กำลังนั่งทำอยู่แล้วเดินมากอดหลานสาวด้วยท่าทางปลอบใจก่อนจะพูดกำหลานสาวด้วยน้ำเสียงที่แสนจะอ่อนโยนว่า
“เด็กโง่ เจ้าย่อมจะรู้แก่ใจดีว่าตาและยายรักใคร่เจ้ายิ่งกว่าผู้ใด เจ้าเป็นคนฉลาดจึงย่อมจะรู้แก่ใจตนเองดีว่า บิดาและมารดาของเจ้าก็มีความรักและความคิดถึงเจ้ามากเช่นกัน ดังนั้นเจ้าอย่าทำตามแต่ใจของตนเอง มีความเห็นใจและห่วงใยในตัวของผู้อื่นบ้าง”
“ข้าไม่ได้ไม่ห่วงใยคนอื่นนะเจ้าคะ สาเหตุหลักที่ข้าไม่อยากลงจากหุขเขาเทพเซียนแห่งนี้ เป็นเพราะว่าข้ารู้สึกเป็นห่วงท่านตาและท่านยายมาก กลัวว่าเมื่อข้าจากไปแล้วพวกท่านจะเงียบเหงาเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอันเม้มปากยิ้มก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะว่า “ยัยเด็กโง่ ยายใช้ชีวิตอยู่กับท่านตาของเจ้าจะรู้สึกเงียบเหงาได้อย่างไร อีกอย่างพี่เว่ยของเจ้าก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย ในบ้านตระกูลหรงแห่งนี้ตากับยายมีบ่าวและสาวใช้คอยดูแลอีกหลายคน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงตากับยาย เจ้าจงกลับไปทำหน้าที่ของเจ้าที่เมืองหลวงเถิด”
ฉินม่านอิ๋งสวมกอดท่านยายของตนเอาไว้อย่างออดอ้อน ในขณะที่ในใจแอบครุ่นคิดว่า ทำไมตัวนางจึงรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังถูกท่านตาและท่านยายร่วมมือกันขับไล่นางลงจากหุบเขาเทพเซียนกันนะ…
