บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 สัตว์เลี้ยงของฉินม่านอิ๋ง

อาหารมื้อเช้าของบ้านตระกูลหรงถูกส่งไปให้ทุกคนกินที่เรือนพักส่วนตัว ปกติฉินม่านอิ๋งมักจะกินอาหารเช้าที่เรือนพักส่วนตัวของนางเอง แต่ในวันนี้นางรู้สึกว่าท่านตาและท่านยายอยากจะขับไล่นางลงจากหุบเขาเทพเซียนเสียเหลือเกิน ดังนั้นนางจึงทำหน้าหนาขออยู่นั่งกินอาหารเช้าร่วมกับท่านตาและท่านยายที่เรือนไผ่หยกเสียเลย

อาหารมื้อเช้าของบ้านตระกูลฉินเป็นโจ๊กสมุนไพรกินคู่กับแป้งทอดและยำแตงกวาดอง แม้ว่าจะเป็นอาหารเรียบง่ายแต่ก็ทำให้คนที่ได้กินรู้สึกเอร็ดอร่อยอิ่มท้องและมีพลังงานวนอยู่ในร่างกายเต็มเปี่ยม

ฉินม่านอิ๋งนั่งจิบชาเพื่อย่อยอาหาร และแอบคิดไปถึงสภาพของหรงฉีเมื่อเช้านี้ นางจึงเอ่ยถามท่านตาของตนด้วยน้ำเสียงอยากรู้

“ท่านตาเจ้าคะ ข้ารู้สึกสงสัยมาตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้วเจ้าค่ะว่าท่านตาไปที่ใดมาหรือเจ้าคะ เหตุใดเนื้อตัวของท่านตาจึงดูเปียกน้ำค้างมากขนาดนั้น”

“…” หรงฉีนั่งจิบชาด้วยท่าทางผ่อนคลายเมื่อหลานสาวเอ่ยถาม เขาทำแค่เพียงเหลือบสายตาไปมองนางโดยไม่ได้พูดตอบอะไร

เว่ยฉางอันอมยิ้มแล้วเอ่ยตอบหลานสาวแทนผู้เป็นสามีว่า “เมื่อคืนนี้ท่านตาของเจ้าหาเรื่องตื่นเต้นให้ผู้อื่นทำโดยการพาเหล่าหลานชายในตระกูลฉินไปล่าสัตว์ที่ป่าทางด้านทิศเหนือมานะสิ”

“ท่านตาพาพวกพี่ชายไปล่าสัตว์ป่าในยามกลางคืนเชียวหรือเจ้าคะ ทำไมท่านตาจึงไม่ส่งคนมาตามข้าบ้างละเจ้าคะ ท่านตาน่าจะรู้ดีว่าหลานสาวชื่นชอบการไปล่าสัตว์มากที่สุดแล้ว”

“หึหึ พวกพี่ชายในสกุลฉินของเจ้าอยากจะมาเปิดประสบการณ์ใหม่ที่นี่ ตาจึงได้พาพวกเขาไปล่าสัตว์ป่าทางเหนือของหมู่บ้านยามค่ำคืน ขืนตาพาเจ้าไปด้วยสัตว์ป่าเหล่านั้นเมื่อได้กลิ่นเจ้าเดินเข้าป่า พวกมันก็คงรีบส่งเสียงเตือนกันเพื่อเผ่นหนีหายไปซ่อนยังป่าทางอื่นกันจนหมด แล้วเหล่าพี่ชายจากสกุลฉินของเจ้าจะล่าสัตว์ป่ากันอย่างตื่นเต้นได้อย่างไร”

ฉินม่านอิ๋ง “…”

เว่ยฉางอันปิดปากหัวเราะด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วเอ่ยถามสามีด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มว่า “แล้วเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เมื่อคืนนี้มีใครได้รับบาดเจ็บกันบ้างหรือเปล่า”

หรงฉีเอ่ยตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พวกเขาล้วนแต่มีวรยุทธฝีมือสูงส่งกันทุกคน ไม่มีใครอ่อนแอจนได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว ความจริงแล้วพวกเขามีประสบการณ์ในการล่าสัตว์ป่ามากพอสมควร แต่สัตว์ป่าทางเหนือของหุบเขาเทพเซียนล้วนแต่เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังมหาศาลและมีความฉลาดเฉลียวเหนือกว่าสัตว์ป่าธรรมดาทั่วไปที่พวกเขาเคยล่ากัน พวกเขาจึงล่าได้สัตว์ป่าติดมือกลับมากันแค่คนละตัวสองตัวเท่านั้น”

ฉินม่านอิ๋งพูดด้วยความเสียดายว่า “โธ่เอ๋ย…ถ้าหากท่านตาพาข้าไปด้วยนะเจ้าคะ ข้าก็คงจะจับสัตว์ได้หลายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ เพราะป่าแห่งนี้หลานหลับตาเดินยังได้เลยเจ้าค่ะ”

หรงฉีพูดขัดคำพูดของหลานสาวขึ้นว่า “ตาคิดว่าถ้ามีเจ้าไปด้วยป่าแห่งนี้ก็คงจะเงียบสงัดไร้สิ่งมีชีวิตเสียมากกว่านะสิ”

ฉินม่านอิ๋งเม้มปากด้วยท่าทางขัดเคืองใจแล้วจึงพูดว่า “ช่วงนี้ข้าไม่ได้อยู่กับเจ้าต้าหวง สัตว์ป่าเหล่านั้นอาจจะไม่หลบหนีข้าเหมือนในยามปกติก็ได้นะเจ้าคะ”

หรงฉีและเว่ยฉางอันหันมามองสบตากัน ก่อนที่หรงฉีจะพูดขัดคำพูดของหลานสาวต่อไปว่า “การที่เหล่าสัตว์ป่าหลบหนีเจ้ากันอย่างสุดชีวิตผิดธรรมชาติแบบนี้ เจ้าอย่าโทษว่าเป็นเพราะเจ้าต้าหวงอีกเลย เพราะความจริงแล้วต่อให้เจ้าไม่ได้เลี้ยงเจ้าต้าหวง สัตว์ป่าเหล่านั้นก็ยังจะหวาดกลัวเจ้ากันอยู่ดี”

เว่ยฉางอันเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะว่า “นั่นสิ เมื่อเจ็ดปีที่แล้วใครใช้ให้เจ้าเพิ่งจะย้ายมาก็ติดตามท่านตาของเจ้าเข้าป่าไปล่าสัตว์แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้อยหรือสัตว์ใหญ่เจ้าก็นำพวกมันกลับมาทำอาหารได้ทั้งหมด จนกระทั่งท่านตาของเจ้าต้องสั่งห้ามเจ้าเข้าป่าไปล่าสัตว์ติดต่อกันอีกเป็นอันขาด ให้มีการหยุดพักการล่าสัตว์ พวกสัตว์ป่าเหล่านั้นจึงไม่สูญพันธุ์ไปหมดป่า”

ฉินม่านอิ๋งพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “ท่านตาเคยสอนหลานว่าสรรพสิ่งทุกชีวิตย่อมมีห่วงโซ่อาหาร สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กล้วนเป็นสัจธรรมของธรรมชาติ การที่หลานชื่นชอบการล่าสัตว์เพราะหลานชอบกินอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ หลานไม่ได้ล่าพวกมันเพื่อความสนุกสนานนะเจ้าคะ”

“แต่การที่เจ้าชอบกินแม้แต่ไข่ของสัตว์ปีก เจ้าตามล่าหาไข่ของพวกมันมาทำอาหารจนแทบจะหมดป่า การกระทำแบบนี้ของเจ้าทำให้สัตว์เหล่านั้นเสี่ยงจะสิ้นเผ่าพันธุ์ ดังนั้นการกระทำของเจ้าออกจะดูไร้คุณธรรมมากเกินไปแล้ว”

“การล่าสัตว์ป่ามากินไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเสียหน่อย ท่านตาเอ่ยวาจาว่าร้ายหลานสาวสาวอีกแล้วนะเจ้าคะ”

“หึหึ เจ้าพูดว่าไม่ได้ร้ายแรง แต่ยามนี้สัตว์ป่าบนเทือกเขามู่เทียนเหลือน้อยลงกว่าในอดีตถึงสิบเท่า เจ้ายังจะมานั่งพูดแก้ตัวอีกหรือ เอาล่ะในเมื่อพวกเราพูดถึงเรื่องสัตว์ป่ากันในยามนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะตายังมีอีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะพูดคุยตกลงกับเจ้า”

“ท่านตามีเรื่องอะไรจะพูดตกลงกับหลานหรือเจ้าคะ” ฉินม่านอิ๋งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

“ตาอยากจะพูดเรื่องของเจ้าต้าหวงสัตว์เลี้ยงคู่ใจของเจ้า ในเมื่อถึงเวลาแล้วที่ตัวเจ้าจะต้องเดินทางกลับเมืองหลวง เจ้าห้ามพาเจ้าต้าหวงไปเมืองหลวงพร้อมกับเจ้าเป็นอันขาด”

“ทำไมละเจ้าคะ หลานไปที่ใดเจ้าต้าหวงก็ต้องไปที่นั่น เพราะเจ้าต้าหวงเป็นสัตว์เลี้ยงของข้าเจ้าค่ะ”

“เป็นเพราะในเมืองหลวงไม่มีสถานที่เหมาะสมจะให้เจ้าต้าหวงพักอยู่อาศัย…”

“แล้วที่นี่มีสถานที่เหมาะสมให้เจ้าต้าวหวงอยู่หรือคะ ท่านตาก็เห็นว่าพวกพี่น้องของเจ้าต้าหวงรังแกมันมากเพียงใด เมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งจะต่อสู้กันจนเจ้าต้าหวงได้รับบาดเจ็บกลับมาด้วย”

ระหว่างที่หรงฉีเอ่ยวาจาโต้เถียงอยู่กับหลานสาว หรงเฟยเซียงพาฉินรุ่ยเดินมาถึงที่เรือนไผ่หยกพอดี คนทั้งสองคำนับผู้อาวุโสทั้งสองคนตามทำเนียมและหันมารับการคำนับจากฉินม่านอิ๋ง ก่อนที่ฉินเฟยเซียงจะเอ่ยผู้เป็นบิดาและบุตรสาวของนางด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า

“ท่านพ่อและอิ๋งเอ๋อร์กำลังเอ่ยเถียงเรื่องอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ เสียงดังลั่นไปถึงด้านหน้าเรือนเลยเจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอันเอ่ยตอบผู้เป็นบุตรสาวว่า “หึหึ…ตาหลานคู่นี้ชอบพูดจาโต้เถียงกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติ ในวันนี้ทั้งคู่กำลังมีความคิดแตกต่างกันเรื่องสัตว์เลี้ยงคู่ใจของอิ๋งเอ๋อร์อยู่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด…”

“ท่านยายเจ้าคะ ทำไมเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าหากข้าไม่สามารถพาเจ้าต้าหวงเดินทางไปเมืองหลวงกับข้าได้ เช่นนั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่ไม่จากไปที่ไหนทั้งนั้นเจ้าค่ะ”

ฉินม่านอิ๋งเอ่ยยื่นข้อเสนอด้วยสีหน้าไม่ยอมพ่ายแพ้ ฉินรุ่ยมองดูท่าทางดื้อดึงของบุตรสาวในยามนี้ว่ามีส่วนคล้ายกับพี่ชายของนางฉินเฉิงหมิงยิ่งนัก เขาจึงพูดเข้าข้างผู้เป็นลูกสาวด้วยน้ำเสียงเอาใจว่า

“ก็แค่เรื่องสัตว์เลี้ยงเพียงตัวเดียว เอามันเดินทางไปเมืองหลวงด้วยคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกระมัง”

หรงฉีปรายตามามองผู้เป็นบุตรเขยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขบขันผู้อื่นว่า “ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้ เช่นนั้นข้าก็จะยอมให้นางนำเจ้าต้าหวงเดินทางตามไปด้วย แต่ข้าขอเอ่ยเตือนก่อนนะว่าบุตรสาวของพวกเจ้าไม่ได้เลี้ยงสัตว์ที่มีความน่ารักเหมือนเด็กสาวทั่วไป

เมื่อได้ยินท่านพ่อตาพูดเช่นนี้ฉินรุ่ยมีสีหน้าระมัดระวังตัวขึ้นมาในทันที แล้วเขาจึงหันมาถามบุตรสาวของตนเองว่า

“ม่านอิ๋ง…เจ้าบอกพ่อมาเถิดว่าสัตว์เลี้ยงของเจ้าเป็นตัวอะไร”

ฉินม่านอิ๋งกลัวว่าผู้เป็นบิดาจะเปลี่ยนใจจึงใช้คำพูดกำกวมร่ายยาวเล็กน้อยว่า

“เจ้าต้าหวงเป็นสัตว์เลี้ยงคู่ใจของข้า มันเกิดมาจากป่าไอหมอกพิษทางทิศใต้ของหมู่บ้าน เมื่อแรกเกิดมันมีสีแตกต่างจากพี่น้องตัวอื่น ตัวมันจึงโดนเหล่าพี่น้องรังแกจนเกือบตาย ข้านำมันมาเลี้ยงตั้งแต่มันอายุยังน้อยจนมันเติบโตมาอย่างดี ข้าทำใจแยกจากมันไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ”

ฉินรุ่ยเอ่ยถามบุตรสาวสั้นๆ อีกครั้งว่า “สรุปแล้วมันเป็นตัวอะไร”

“เจ้าต้าหวงมันเป็นพยัคฆ์ขาวเจ้าค่ะ”

ฉินรุ่ย “…”

หรงฉีหัวเราะหึหึในลำคอก่อนจะพูดเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสนุกสนานว่า “เจ้าต้าหวงไม่ใช่พยัคฆ์ขาวธรรมดานะ มันเป็นสัตว์เทวะที่มีเสียงพยัคฆ์คำรามเอาไว้ทำร้ายคู่ต่อสู้เพิ่มเป็นพิเศษอีกด้วย”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel