บทที่ 5 เกลี้ยกล่อมคนดื้อรั้น
ท่านหมอเทวดาหรงฉีและฮูหยินเว่ยซื่อเป็นที่นับถือของชาวบ้านในหุบเขาเทพเซียนทุกหลังคาเรือน เพราะการที่พวกเขามาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ และมีอาชีพหาเลี้ยงตนเองทุกคนในครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีล้วนแต่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านหมอเทวดาหรงฉีและฮูหยินเว่ยฉางอันแทบจะทุกเรื่อง
ดังนั้นเมื่อทุกคนรู้ว่าที่บ้านตระกูลหรงมีแขกจากภายนอกเข้ามาเยือน ทุกคนต่างช่วยกันส่งอาหารที่คิดว่าดีมากที่สุดของบ้านตนเองแล้วนำมาส่งมอบให้แก่ที่บ้านตระกูลหรง
จี๋เสียงเป็นสาวใช้คนสนิทของฉินม่านอิ๋ง นางนำยาเม็ดที่มีราคาแพงนำมามอบให้แก่ชาวบ้านที่นำของมาส่งให้ที่บ้านตระกูลหรง โดยนางพูดกำชับกับชาวบ้านทุกคนว่า
“คุณหนูของข้าเอ่ยกำชับมาแล้วว่าถ้าหากพวกท่านไม่ยอมรับของที่มอบให้เป็นการตอบแทน เช่นนั้นบ้านตระกูลหรงก็จะไม่ยอมรับอาหารเหล่านี้ที่พวกท่านนำมามอบให้เหมือนกัน”
“โธ่ จี๋เสียงข้าก็แค่นำไก่ที่เลี้ยงเอาไว้และผักที่ปลูกเองนำมามอบให้บ้านตระกูลหรงเท่านั้นเอง ของเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร แล้วข้าจะนำมาแลกกับยาป้องกันไอหมอกพิษของคุณหนูม่านอิ๋งได้อย่างไร”
“ใช่ๆ บ้านของข้าแค่นำปลามามอบให้เพียงไม่กี่ตัว แต่เจ้ากลับนำยาป้องกันไอหมอกพิษมาให้ข้าสิบกว่าเม็ดได้ ถึงพวกข้าจะไม่มีความรู้ทางด้านการปรุงยา แต่พวกข้าก็รู้กันดีว่าหญ้าสีชาดที่ใช้ทำยาชนิดนี้มีราคาแพงมาก ไหนจะกิ่งของต้นเซียงเซียนอีก ถ้าพวกข้ารับยามาจากเจ้าก็จะกลายเป็นว่าพวกข้ามาเอาเปรียบบ้านตระกูลหรงอีกแล้ว”
“พวกเจ้ารีบรับไปเถิด คุณหนูของข้าไม่ขาดแคลนหญ้าสีชาด และหมู่บ้านของพวกเราก็ไม่ขาดขาดกิ่งไม้ของต้นเซียงเซียน นี่เป็นแค่ยาป้องกันไอหมอกพิษเพียงไม่กี่เม็ด สำหรับคุณหนูของข้าแล้วยาชนิดนี้ไม่ใช่ของมีราคาสักเท่าใดนัก”
“ได้ๆ ข้ายอมรับยาจากเจ้าแล้ว ทางโรงครัวยังขาดแคลนคนช่วยงานอยู่อีกหรือไม่ ข้าจะให้บุตรสาวมาช่วยอีกแรง”
“ไม่ต้องๆ ยามนี้ที่บ้านตระกูลหรงมีคนช่วยงานในโรงครัวมากเกินไปแล้ว ถ้าหากท่านอยากจะช่วยจากใจจริงก็ช่วยกันดูคนจากภายนอกที่เข้ามาในหมู่บ้าน อย่าเพิ่งให้คนเหล่านั้นเข้ามารบกวนท่านหมอหรงที่บ้านตระกูลหรงก็พอ”
“แม่นางจี๋เสียงวางใจในเรื่องนี้ได้เลย ในยามนี้ผู้ใหญ่บ้านจัดเวรยามตรวจคนจากภายนอกอย่างเข้มงวดและคัดคนที่จะมาโรงหมอของท่านหมอหรง จัดการนัดหมายให้คนเหล่านั้นมาพบท่านหมอหรงในวันพรุ่งนี้แทนแล้ว”
“ดี”
การสนทนาของชาวบ้านและสาวใช้คนสนิทของฉินม่านอิ๋งเมื่อครู่นี้ มีคุณชายใหญ่ คุณชายรองและคุณชายสามตระกูลฉินยืนฟังอยู่ในระยะไกล เมื่อคนเหล่านั้นเปลี่ยนไปพูดคุนเรื่องอื่นกันแล้ว คุณชายทั้งสามคนจึงเดินไปที่เรือนรับรองของแขกบ้านตระกูลหรงด้วยกัน
“เท่าที่ข้ารู้มายาป้องกันไอหมอกพิษมีราคาแพงมาก แต่สาวใช้ของน้องเจ็ดกลับนำมาแจกชาวบ้านเพื่อตอบแทนกับวัตถุดิบในการทำอาหารราคาถูกแบบนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ” คุณชายสามฉินจิ้งอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดาย
“ที่แท้ก็มียาป้องกันไอหมอกพิษ มิน่าเหล่าชาวบ้านที่อยู่บนนี้จึงไม่กลัวไอหมอกพิษที่เกิดขึ้นจากป่าดิบชื้นที่อยู่ด้านล่างของเทือกเขามู่เทียน”
คุณชายใหญ่ฉินพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ก่อนที่เขาจะหันไปมองคุณชายรองฉิน สายตาคล้ายว่าเขามีเรื่องราวบางอย่างที่กำลังสื่อสารกับฉินเจี้ยนหลงโดยไม่ต้องใช้คำพูด โดยที่ฉินเจี้ยนหลงส่ายหน้าเป็นการตอบพี่ชายใหญ่ของเขาโดยไร้คำพูดเช่นกัน
“ข้าคิดว่าหุบเขาเทพเซียนแห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนที่มีเซียนมาอาศัยอยู่อย่างที่ชาวบ้านเล่าลือกัน แต่หุบเขาแห่งนี้น่าจะเคยเป็นปล่องภูเขาไฟมาก่อน ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่มีน้ำอุ่นร้อนตลอดปีเป็นเพราะด้านล่างน่าจะมีหินเหลวที่ยังมีความร้อนแผดเผาอยู่จึงทำให้น้ำในสระอุ่นร้อนทั้งๆ ที่บนท้องฟ้ามีหิมะตกหนัก”
“อื้ม… เรื่องหุบเขาแห่งนี้เจ้าอย่าคิดวิเคราะห์อีกเลย ไม่แน่ว่าคำพูดของเจ้า ถ้ามีคนนอกมาได้ยินอาจจะทำให้คนที่มีความศรัทธาในเรื่องเล่าเหล่านี้โกรธเคืองเอาได้”
“พี่ชายใหญ่วางใจได้ ก่อนที่ข้าจะพูดกับพวกพี่ เมื่อครู่นี้ข้าใช้จิตเพ่งมองจนรอบแล้วว่าไม่มีคนนอกมีแค่พวกเราเท่านั้น ส่วนน้องสี่และน้องห้าในยามนี้คงกำลังไปเกลี้ยกล่อมให้น้องเจ็ดเปลี่ยนใจเดินทางกลับเมืองหลวงไปพร้อมกับพวกเรา”
ฉินจิ้งอี้พูดด้วยน้ำเสียงไร้กังวล ก่อนจะยืนมองดูพี่ใหญ่ของเขากำลังเดินสำรวจที่พัก และช่วยจัดที่นอนให้แก่ฉินเจี้ยนหลงอย่างเอาใจใส่ เขาค้นหาผ้าปูนอนเนื้อดีซึ่งเป็นของใช้ส่วนตัวของน้องชายนำออกมาปูขึงให้ตึงด้วยตัวเขาเอง และยังนำหมอหยกในถุงสัมภาระออกมาวางบนเตียงเพื่อหวังจะให้ผู้เป็นน้องชายคนรองนอนหลับสนิทในคืนนี้
ท่าทางที่ฉินอี้เทียนดูแลเอาใจใส่ฉินเจี้ยนหลงผู้เป็นน้องชายอย่างจริงจังเป็นเหตการณ์ปกติที่คุ้นชินไปแล้วสำหรับฉินจิ้งอี้และทุกคนในกองทัพตระกูลฉิน และทุกคนต่างรู้กันดีว่าคนที่สามารถทำให้คนเคร่งขรึมจริงจังอย่างฉินอี้เทียนและแม่ทัพใหญ่ฉินเค่อเสียอาการได้มีแค่เพียงเรื่องของคุณชายรองฉินเจี้ยนหลงเท่านั้น…
ท่านด้านฉินม่านอิ๋งนางกำลังยืนกอดอกด้วยท่าทางดื้อรั้น โดยมีฉินเฉิงหมิงและฉินจิ้งเสียนพูดจาเอาใจอยู่ด้านข้าง
“เจ้าอย่าทำตัวแบบนี้สิ พี่ชายรู้ว่าเจ็ดปีที่ผ่านมานี้เจ้ารู้สึกน้อยใจที่ท่านพ่อและท่านแม่ไม่ได้มาเยี่ยมเจ้า แต่เรื่องราวในกองทัพนั้นไม่ง่ายการจะไปที่ใดต้องมีคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ท่านพ่อและท่านแม่จึงจะเดินทางออกจากกองทัพได้ ยิ่งอยู่ในช่วงสงครามท่านพ่อและท่านแม่ต่างมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพกองพันที่จะต้องควบคุมเหล่าทหารใต้อาญัติของตนจำนวนหลายพันคนออกไปทำสงครามที่เสี่ยงอันตราย พวกท่านจึงไม่อาจจะมาเยี่ยมเจ้าได้”
“ใช่แล้วน้องเจ็ด ในช่วงที่ทำสงครามมีคนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ในแต่ละวันสถานการณ์ในกองทัพเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา แตพี่ชายรู้ดีว่าท่านอาและท่านอาสะใภ้สามคิดถึงเจ้ามากที่สุด”
“ที่ท่านพ่อและท่านแม่ส่งน้องสาวมาอยู่กับท่านตาและท่านยายก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ถ้าหากนำเจ้าติดตามไปอยู่ในกองทัพด้วย ความเป็นอยู่ในกองทัพช่างแสนจะลำบาก มิหนำซ้ำยังมีโอกาสที่จะถูกฝ่ายศัตรูลอบโจมตีมาถึงกระโจมที่พักในกองทัพด้วย”
“ในยามที่มีชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายจากภัยสงคราม ท่านอาสะใภ้ยังพูดกับพี่ชายห้าอยู่บ่อยครั้งว่าโชคดีที่ส่งน้องสาวมาอยู่ที่หุบเขาเทพเซียนแล้ว ไม่อย่างนั้นท่านอาสะใภ้ก็คงจะต้องแอบคิดกังวลในใจว่าเจ้ายังปลอยภัยดีไหม จะมีศัตรูฝ่ายตรงข้ามจัดทัพแอบย้อนขึ้นมาโจมตีทางเมืองหลวงหรือไม่ และจากสถานการณ์ทางการเมืองในยามนี้ เมืองหลวงก็ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยเช่นกัน ท่านอาสะใภ้สามคิดถึงเจ้าและเป็นห่วงเจ้าอยู่เสมอ”
“ในเมื่อพี่ห้าพูดว่าสถานการณ์ทางการเมืองในยามนี้ไม่ปลอดภัย แล้วท่านพ่อกับท่านแม่ทำไมจึงอยากจะพาข้าเดินทางกลับเมืองหลวงละเจ้าคะ”
“จะเพราะอะไรล่ะ ย่อมเป็นเพราะท่านพ่อและท่านแม่คิดถึงเจ้า พวกท่านคงอยากจะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขร่วมกับบุตรสาวบ้างในช่วงเวลาที่ไร้สงครามแบบนี้ แต่ถ้าหากเจ้ายังยืนยันว่าไม่อยากเดินทางเข้าเมืองหลวง ท่านพ่อและท่านแม่ก็คงจะยอมทำตามใจเจ้า พี่ชายไม่อยากเห็นท่านพ่อและท่านแม่รู้สึกผิดหวังและเสียใจ พี่ชายจึงได้ตามมาพูดจารบเร้าเจ้าอยู่แบบนี้”
ฉินม่านอิ๋งเม้มริมฝีปากแน่นแล้วยืนนิ่งคิดตามคำพูดของพี่ชายตนเองและญาติผู้พี่ในสกุลฉิน เมื่อใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า
“เมื่อหลายปีก่อนข้าคิดอยากจะกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่และพี่ชายมากที่สุด แต่พอมาปีนี้ข้าคิดเปลี่ยนใจไม่อยากจะกลับจวนแม่ทัพใหญ่ของตระกูลฉินแล้ว แต่ท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายกลับเดินทางมารับข้า แล้วจะไม่ให้เวลาข้าครุ่นคิดให้ดีก่อนหรือเจ้าคะ”
“อิ๋งอิ๋งเอ๋ย…วันเวลามักจะไม่หยุดนิ่งเพื่อรอคอยเรา ดังนั้นเจ้าอย่าใช้เวลาคิดนานเกินไปนักเพราะท่านพ่อกับท่านแม่รวมถึงเหล่าพี่ชายคงจะอยู่ที่นี่ได้เพียงสามวันเท่านั้น”
“ใช่แล้ว ทางจวนแม่ทัพฉินในเวลานี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง น้องสาวเจ้ากลับไปกับพวกเราเถิด”
ฉินม่านอิ๋งยืนนิ่งฟังคำพูดของเหล่าพี่ชายโดยไร้ท่าทางต่อต้านอีกต่อไป ซึ่งท่าทางแบบนี้ทำให้ฉินจิ้งเสียนแอบอมยิ้ม เพราะเขารู้ดีว่าน้องสาวเริ่มจะใจอ่อนแล้ว…
