CHAPTER 3 ซ้อมบทเลิฟซีนกับพัฒน์ (1/3)
“พัฒน์!”
“พัฒน์!”
“พัฒน์!”
ทุกคนต่างหันมามองทุกครั้งที่ผมตะโกนเรียกชื่อนี้ โดยเฉพาะนิวตันกับอะตอมที่มักจะเลิกคิ้วและตกใจอยู่เสมอ เหมือนอย่างตอนที่นิวตันกำลังจะตักข้าวเข้าปาก ในขณะที่ผมเงยหน้าเห็นพัฒน์ที่กำลังเดินถือจานข้าวตรงมาทางนี้
“พัฒน์!” เขามองซ้ายขวาจนเห็นว่ามีคนกำลังเดินมาใกล้จึงเดินหลบเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้น
“มึงจะเรียกมันทำไมนักหนาวะ กลัวจำชื่อแม่งไม่ได้ไง” นิวตันโวยวายเมื่อผมทำเขาตกใจจนช้อนหลุดมือข้าวหกเกลื่อนโต๊ะ
“ภีมกำลังช่วยมันต่างหากล่ะ ใช่มั้ย” อะตอมแทรกขึ้นมา ผมจึงยิ้มกว้างแล้วหัวเราะเบาๆ
“ใช่ ขอโทษมึงด้วยแล้วกันที่ทำให้ตกใจ”
“เออ ไอ้สัตว์ กูยอมตกใจก็ได้ ดีกว่าให้มันทำร้ายใคร”
พัฒน์เดินมานั่งลงข้างๆ ผมพร้อมกับวางข้าวลงบนโต๊ะ
“ว่าแต่มึงไม่โกรธมันหรือไง” นิวตันถามขึ้นมา
“กูคนดี ไม่โกรธใครง่ายๆ หรอก” ผมยิ้มกว้างตอบกลับพลางตักข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แต่พัฒน์กลับหัวเราะในลำคอ
“ไม่มั้ง พวกมึงทำข้อตกลงอะไรกันใช่มั้ย” ผมนิ่งคิดแล้วคลี่ยิ้มกว้างอีกครั้งกับคำถามนั้น
“เราตกลงจะเป็นเพื่อนกัน เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิ ไม่เห็นแปลก”
นิวตันยังคงหรี่ตามองพวกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่คงต้องเชื่อเพราะมันไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่านั้นหรอก
“มึงนี่เป็นคนดีกว่าที่กูคิดนะ” อะตอมพูดยิ้มๆ แววตาเป็นประกายอย่างชื่นชมแตกต่างจากนิวตัน
“แน่นอน” ผมยักไหล่ตอบยิ้มๆ แล้วผมก็เพิ่งนึกบางอย่างได้จึงหันไปหาพัฒน์ที่นั่งกินข้าวเงียบๆ
“เออ กูรู้มาจากวงในว่าซีรีส์ที่เราจะไปแคสทำมาจากนิยายติดเรทชื่อดังแหละ”
“หือ วงใน?” พัฒน์เลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนคลายออกเมื่อได้รับคำตอบจากผม
“ก็กลุ่มเฟสบุ๊คไง แต่กูไม่ค่อยถนัดเรื่องอะไรพวกนี้เลยว่ะ ทำไงดี”
“ไหนๆ ภีมมึงก็ช่วยไอ้พัฒน์ขนาดนี้ ก็ให้มันช่วยซ้อมบทให้มึงสิ” นิวตันว่า ผมจึงเหลือบไปมองหน้าพัฒน์ที่กำลังตักข้าวเข้าปากเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ได้เหรอ มันจะไม่แปลกๆ ใช่ป่ะ”
“แปลกเชี่ยไร เพื่อนกันช่วยกันไม่เห็นแปลก ว่าไงพัฒน์มึงจะช่วยมันป่ะ” พัฒน์หรี่ตามองผมเล็กน้อย
“กูยังไงก็ได้” พัฒน์ยักไหล่ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก นั่นสิ เพื่อนช่วยเพื่อนมันก็ถูกแล้วป่ะ ไม่มีอะไรแปลก
“งั้นก็…รบกวนด้วย”
“ใกล้ถึงวันแคสล่ะ เย็นนี้กูว่างพอดี เลิกเรียนไปรอกูที่รถล่ะกัน”
“เค ขอบใจมาก” เขาพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นไปเก็บจานหลังจากกินเสร็จแล้ว ผมทำได้แค่มองตามหลังเขา
มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ... ผมกำลังกังวลอะไรอยู่นะ อาจเป็นเพราะผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วเหมือนจะเป็นไข้แถมหัวใจยังเต้นแรงแปลกๆ กลัวจะไปติดพัฒน์จัง
หลังเลิกเรียนผมเดินไปยังลานจอดรถตามที่ได้นัดหมายกันไว้ แทนที่ผมจะต้องเป็นคนรอ กลับพบว่าพัฒน์ยืนรอที่รถคันหรูของเขาอยู่ก่อนแล้ว
“มารอนานยัง”
“สักพัก ไปกันเถอะ”
ภายในรถคันหรูบรรยากาศยังคงเงียบเหมือนเคยไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาเลย ผมจึงคิดว่าตัวเองควรเปิดบทสนทนาสักหน่อยเพื่อทำลายความเงียบ
“ว่าแต่เราจะไปที่ไหนกันเหรอ”
“คอนโดกู”
“อ่า” ที่นั่นคงสะดวกที่สุดแล้วสินะ ว่าแต่รถยังหรูขนาดนี้แล้วคอนโดจะหรูขนาดไหนกันนะ
ผมต้องทึ่งเมื่อพัฒน์เลี้ยวรถเข้ามาในคอนโดมิเนียมสุดหรูใจกลางเมือง ดูจากภายนอกยังดูพรีเมี่ยมเลย ผมไม่อาจจินตนาการถึงความหรูหราภายในห้องพักได้คงเป็นเหมือนในซีรีส์ที่เคยดูแน่ๆ พัฒน์คงรวยมากจริงๆ ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มารู้จักและเป็นเพื่อนกับคนระดับนี้
ผมกำนิยายในมือแน่นเมื่อพัฒน์พาขึ้นลิฟต์ที่กำลังทะยานไปยังชั้น65 ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกแล้วเดินมายังหนึ่งในสองห้องบนชั้นนี้ วินาทีที่ผมก้าวขาเข้ามาก็ถึงกับกลั้นหายใจในความหรูหราของเพนต์เฮาส์นี้ราวกับผมได้ก้าวเข้ามายังโลกใบใหม่ที่ช่างต่างจากที่ตัวเองเคยได้สัมผัส
“อยากดื่มอะไรมั้ย”
พัฒน์ถามเมื่อเขาเดินมาหยุดที่เคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มเหมือนในซีรีส์ที่เคยเห็น ผมจึงพยักหน้าเพราะสิ่งที่จะทำต่อไปนี้แม้จะเป็นเพียงแค่การแสดง แต่ผมคงต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก
"ห้องมึงกลิ่นหอมดีเนอะ แต่แอบแรงไปหน่อย" ผมพูดขึ้นขณะเดินมานั่งลงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ พัฒน์หลือบขึ้นมองผมแล้วด้วยแววตาแปลกๆ
"แน่ใจนะว่ากลิ่นห้อง ไม่ใช่กลิ่นกู"
"หมายความว่าไง" ผมถามอย่างงุนงง อยู่ๆ ก็หายใจไม่เต็มปอด พัฒน์กระตุกยิ้มพลางวางแก้วเหล้าลงตรงหน้าผม
"มึงรู้ตัวป่ะว่าตัวเองกลิ่นแรงมาก อาการมึงคงออกแล้วล่ะ" พัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มราวกับไม่ยี่หรี่ ผมสิยังคงงงทั้งคำพูดของเขาและอาการของตัวเอง มันปวดเมื่อยและร้อนวูบวาบทั่วตัว หายใจถี่กระชั้น ลำคอแห้งผากจนต้องหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม แต่มันกลับรู้สึกแย่กว่าเดิมเมื่อถูกแอลกอฮอล์บาดคอ
“ที่ถืออยู่นิยายเรื่องนั้นเหรอ” เขาถามพลางยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ผมก้มลงมองนิยายที่เผลอกำไว้แน่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“ชะ ใช่”
“อยากซ้อมฉากไหน” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งเผื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
“มีอยู่ฉากหนึ่งน่าจะเป็นจุดพีคของเรื่อง...คือตอนที่พระนายได้เจอกันในบาร์”
