บท
ตั้งค่า

CHAPTER 2 ต้องอยู่ข้างกันตลอดสิ (1/2)

“กูถามมึงจริงๆ นะ อะไรทำให้มึงบ้าจี้แบบนี้วะ”

เสียงนิวตันดังเข้ามาในโสตประสาทจนผมรู้สึกตัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเห็นเพดานสีขาว กลิ่นของยาฆ่าเชื้อและไม่ได้จอแจเหมือนครั้งที่แล้ว ทำให้ผมรู้ว่าที่นี่น่าจะเป็นห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย

“เสือก”

“สัตว์ ชอบทำคนอื่นเขาเดือดร้อนอยู่เรื่อย เกิดมันตายขึ้นมาทำไง”

“กูยังไม่ตาย…” ผมตอบกลับนิวตันพลางลุกขึ้นนั่งขณะพูดก็รู้สึกเจ็บที่ใบหน้าโดยเฉพาะตรงจมูกจึงลองจับดู มีสัมผัสของผ้ากอซนิ่มๆ แต่เจ็บจนต้องร้องซี้ด อะตอมจึงดึงมือผมออกจากจมูก

“อย่าจับ จมูกมึงหักอยู่นะ”

“ห๊า จมูกหักเลยเหรอวะ”

ผมร้องเสียงหลง หนักกว่ารอบที่แล้วอีก ไอ้เหี้ย ถ้ากูทำศัลยกรรมมาซิลิโคนคงหลุดออกมาทั้งดุ้นแน่ ห่าเอ๊ย

“เพราะมึงเลยไอ้พัฒน์” ผมเผลอหันไปมองผู้ชายตัวโตข้างๆ แล้วเผลอขยับหนีอย่างหวาดกลัว จนเจ้าตัวชักสีหน้าเล็กน้อย

“เออ เดี๋ยวชดเชยให้”

“ยังไง”

“กูจะไปส่งมันที่บ้าน”

“แค่เนี๊ย”

ทำไมตกลงกันอยู่สองคนล่ะเฮ้ย ไม่คิดจะถามกูหน่อยเลยว่าต้องการอยู่ใกล้มันมั้ย ผมจึงรีบขัดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลาย

“ไม่ต้องหรอก กูกลับเองได้”

“ทำไมหรือมึงขับรถมาเอง”

เอารถที่ไหนมาขับก่อน แต่ถ้าบอกไปว่ากลับรถเมล์ต้องโดนยัดเยียดให้ผมไปกับพัฒน์แน่ ดังนั้นเออออไปก่อนแล้วกัน

“เออใช่ กูขับรถมา”

“อ๋อ แต่มึงขับไหวแน่นะ” นิวตันยังคงถามย้ำอย่างเป็นห่วง กลับเองยังจะดูปลอดภัยกว่ากลับกับตัวอันตรายเดินได้แบบหมอนี่เลย

“ได้สิ สบายมาก”

หลังจากผมยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นไร พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ผมมีงานต่อที่ห้างสรรพสินค้า จึงยืนรอรถเมล์อยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยโดยไม่รู้เลยว่าจะมีคนผ่านมาเห็น และขับรถคันหรูมาจอดที่หน้าป้ายรถเมล์ พอกระจกถูกเลื่อนลงจนสุด ผมก็ได้เห็นคนที่ไม่อยากเห็นมากที่สุด

“ไหนว่าขับรถมาไง” ผมไม่รู้จะตอบยังไงจึงเลือกที่จะเงียบ “ขึ้นรถ”

“ไม่เป็นไร มึงไปเถอะ” เพราะเขาเลือกจอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์ ทำให้รถคันอื่นเข้ามาจอดไม่ได้ แต่พัฒน์ก็ยังไม่ยอมขยับรถ ทั้งที่โดนบีบแตรไล่แล้ว แถมยังจ้องผมเขม็งเหมือนเป็นการกดดันอยู่ในทีว่าถ้ามึงไม่ขึ้นกูก็จะอยู่ตรงนี้แหละ ผู้คนที่ป้ายเริ่มส่งเสียงบ่นจนผมไม่มีทางเลือก ต้องรีบเปิดประตูขึ้นรถของเขาทันทีด้วยความเกรงใจคนอื่น

พอขึ้นมานั่งบนรถผมก็เก็บไม้เก็บมือวางไว้บนตักอย่างเรียบร้อยไม่กล้าแตะต้องสิ่งใดในรถและป้องกันการเผลอไปโดนตัวเจ้าของรถด้วย

“จะไปไหน”

“มึงไปส่งกูที่ห้างHก็พอ” พัฒน์พยักหน้ารับ แล้วบรรยากาศภายในรถก็เงียบสนิท ไม่มีใครพูดสิ่งใดต่อจากนั้น ทว่าพอมาถึงห้างแทนที่เขาจะส่งผมที่ป้ายรถเมล์หน้าห้าง แต่กลับขับต่อไปยังลานจอดรถของห้าง

“ไหนๆ ก็มาล่ะ กินข้าวกัน”

อะไรของเขา อยู่ๆ ก็มาชวนกินข้าว

“ไม่ได้ กูมีงานต่อ”

“งานอะไร”

“กูเป็นมาสคอตในงานอีเวนต์” เขามองผมแล้วก็พยักหน้าอย่างรับรู้ “งั้นกูไปก่อนนะ ขอบใจที่มาส่ง”

สิ้นคำพูดนั้นผมก็รีบปลีกตัวเดินห่างออกมาทันที ผมเดินมายังงานอีเวนต์ พอมาถึงหน้างานพี่ทีมงานก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าผม

“ไปทำจมูกมาเหรอน้อง”

เอ๊อะ เอ่อ…

“ปะ เปล่าครับ แค่บาดเจ็บนิดหน่อย”

นิดหน่อยก็บ้าแล้ว! แต่ผมก็พยายามตอบแกนๆ เพื่อให้ได้ทำงานนี้ต่อไป ไม่อยากถูกไล่กลับน่ะ เดี๋ยวไม่มีตังค์จ่ายค่าห้อง

“ไหวนะ” พี่ทีมงานสาวถามผมสีหน้าเป็นกังวล

“ไหวครับ สบายมาก”

“โอเค งั้นไปเตรียมตัวเลย งานใกล้เริ่มล่ะ”

พี่ทีมงานพูดทำท่าเหมือนจะเดินไปทำงานอื่น ทว่ากลับหันมามองผมอีกรอบ

“เต้นแรงๆ เลยนะน้อง”

“ครับ” จะเต้นให้แรงที่สุดเท่าที่สังขารจะไหวนะครับ

ผมมองไปรอบๆ บริเวณหลังเวทีมองทีมงานวิ่งไปวิ่งมาอย่างรีบร้อน ถ้าผมได้มาที่นี่ในสถานะนักแสดงก็คงดีไม่น้อย เพราะแบบนี้ไงผมถึงชอบทำงานเป็นมาสคอตแทนที่จะไปทำตามร้านอาหาร ถึงแม้ด้านในจะร้อนแค่ไหน แต่มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้ความฝัน ได้โชว์ตัวต่อหน้าทุกคน แม้จะเป็นได้แค่มาสคอตก็ตาม

วันนี้ผมมาเป็นมาสคอตสร้างสีสันในช่วงเปิดงานกับพี่มาสคอตอีกตัวหนึ่ง เราสองคนเต้นกันสุดเหวี่ยงมากจนได้รับเสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือจากผู้ชมมากมาย ผมเต้นแรงจนจมูกแทบหลุดออกมา ฮ่าๆ แต่ก็มันส์มากเหมือนได้ระบายอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในใจ เมื่อพิธีกรขึ้นเปิดงานพวกเราก็ยังคงต้องยืนดุกดิกอยู่หน้าเวทีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้แบรนด์สินค้า

เราต้องอยู่ในชุดมาสคอตร้อนๆ นั้นเกือบสองชั่วโมงจนกระทั่งงานจบถึงมาถอดชุดคืนแล้วรับเงินกลับบ้าน งานก็มีแค่นี้แหละ แต่ใช้ความอดทนและพลังงานสูงมาก เพราะแบบนั้นตอนนี้ผมจึงหิวมาก โชคดีที่เป็นงานในห้างหลังจากถอดชุดแล้วเหงื่อโซมกายก็ยังได้ตากแอร์เย็นๆ

ผมเดินถือแซนด์วิชที่ซื้อก่อนเข้างานกับน้ำเปล่าขวดหนึ่งมานั่งกินที่ลานน้ำพุ ทั้งที่หิวไส้แทบขาด แต่ตอนเย็นกินได้แค่นี้เพราะต้องประหยัด อาหารในห้างมีแต่แพงๆ ทั้งนั้น

ผมนั่งมองแซนวิซสามเหลี่ยมในมือพร้อมกับถอนหายใจ บางครั้งก็น้อยใจนะที่วันๆ กินได้แค่ไม่กี่อย่าง ทำงานหนักมาก แต่กลับไม่ได้กินของดีๆ กับเขาเลย เงินไปจมอยู่กับค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟหมด พอเริ่มท้อผมก็จะแตะหน้าจอมือถือ มองรูปชิรันที่ถูกตั้งเป็นภาพพักหน้าจอ… เพียงเท่านี้ก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาแล้ว

ทว่าอยู่ๆ กลับมีกล่องข้าวยื่นมาตรงหน้าผมบังรูปชิรันจนมิด ผมจึงเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าเป็นผู้ชายตัวโตนามว่า พัฒน์…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel