CHAPTER 1 ทำร้ายคนไม่เลือกหน้า (1/2)
ย้อนไปเมื่อหนึ่งปีก่อน
ในวันอาทิตย์ที่แสนจะธรรมดา แดดเมืองไทยยังคงร้อนระอุเหมือนอยู่ในทะเลทราย แผดจ้าจนแสบตาเฉกเช่นทุกวัน ผมเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมน้ำขวดหนึ่งพลางนั่งพักตรงพื้นยกระดับ เหงื่อโซมกาย นั่งมองผู้คนเดินไปมาด้วยความรู้สึกว้าวุ่น หลังจากเดินหางานพาร์ทไทม์ทำเพิ่มแต่ไม่มีที่ไหนรับเลย ผมถอนหายใจ ทว่าอยู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ร่างชายหนุ่มวิ่งผ่านหน้าผมไปพร้อมกระเป๋าในมือที่ช่วงชิงมาเห็นแบบนั้นผมจึงรีบลุกขึ้นวิ่งตามโจรชิงทรัพย์
“ขอโทษครับ … ขอโทษครับ”
เนื่องจากมีคนเดินอยู่เต็มฟุตบาธ ผมจึงวิ่งชนคนนู่นทีคนนี้ทีพลางกล่าวขอโทษไปตลอดทาง แม้ฝีเท้าของผมจะเริ่มลดลงเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังไม่ลดความพยายามเร่งสปีดให้เร็วขึ้น จนกระทั่ง…
“ขอโทษครับ…อุก!”
ผมล้มลงกองกับพื้นฟุตบาธ กุมท้องแน่น ยกมือขึ้นชี้หน้าผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่มือจะตกลงพร้อมสติที่ดับวูบไป…
ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นเพดานสีขาวสะอาดพร้อมกับเสียงจอแจรอบทิศทางที่บ่งบอกว่าที่นี่คือโรงพยาบาล ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะชันศอกลุกขึ้นนั่งพลางกุมท้อง เมื่อความเจ็บปวดยังคงหลงเหลืออยู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่พยาบาลรูดม่านเดินเข้ามาพอดี
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไงครับ” ผมยังคงมึนงงไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะหัวกระแทกพื้นด้วยหรือเปล่า
“มีคนพาคุณมาส่งค่ะ แถมยังฝากขอโทษคุณด้วย”
ขอโทษ…? ความทรงจำล่าสุดเริ่มกลับมาและภาพใบหน้าของผู้ชายคนนั้นก็แวบเข้ามาในหัว
“ไอ้เวรนั่น! แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนครับ”
เจอหน้าพ่อจะซัดให้หมอบเลย อยู่ๆ มาต่อยท้องกันแบบนี้ได้ไง ถึงผมจะเป็นฝ่ายผิดที่วิ่งชนเขา แต่มันไม่ได้แรงอะไรขนาดนั้น ทำไมจะต้องทำรุนแรงกันด้วยวะ!
“เขากลับไปสักพักแล้วค่ะ” อย่าให้เจอหน้าอีกนะ “คุณสามารถกลับบ้านได้เลยนะคะ”
สิ้นคำพูดนั้นพยาบาลตั้งท่าจะหันหลังเดินจากไป แต่ผมรั้งเอาไว้ด้วยท่าทีอึกอักจนเธอต้องเลิกคิ้ว
“ค่ารักษา…” คำพูดนั้นหลุดออกจากปากแบบไม่เต็มเสียง เธอคลี่ยิ้ม
“เขาจ่ายแล้วค่ะ”
“อ่า…” ผมอุทานอ้าปากหวอเลย
“ขอตัวนะคะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ก็ยังดีที่มีความรับผิดชอบ… ถือว่าหายกันละกัน ชาตินี้อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย
ผมเดินออกมาท้องฟ้าด้านนอกก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มซะแล้ว หมดไปอีกวันแล้วสินะ…
ผมกลับมาถึงห้องเช่าด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่ลืมที่จะเปิดประตูให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่เพราะกลัวใครจะมาด่าว่าเสียงดัง แต่ต้องการถนอมประตูห้องที่กำลังรอวันพังเต็มที นี่ขนาดเปิดเบายังรู้สึกเหมือนมันจะหลุดติดมือมาเลย
ผมเปิดไฟเดินเข้ามาทิ้งตัวลงบนฟูกเก่าๆ ถอนหายใจซึ่งไม่ได้ทำให้สิ่งที่กดทับร่างกายอยู่เบาลงเลย มันคือภาระยังไงล่ะ แม้ตัวผมจะยังไม่รู้สถานะเพศรองเพราะมันขึ้นยังไม่มีการระบุเพศ แต่ดูจากสภาพการเป็นอยู่ตอนนี้แล้ว โชคดีหน่อยก็อาจเป็นเบต้า แต่ถ้าโชคร้ายก็คงเป็นโอเมก้า แล้วคงเป็นโอเมก้าที่ฝันสูงซะด้วย ผมตัดพ้อกับตัวเองเสร็จก็ถอนหายใจแรงราวกับแบกโลกทั้งใบ…
ทว่าพอเบนสายตามองผนัง ผมคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาทันที ภาพโปสเตอร์ของชิรันที่ติดอยู่ทั่วห้อง ทำให้ผมรู้สึกถึงความหวังอีกครั้ง พรุ่งนี้มันต้องดีกว่านี้สิ… อีกไม่นานทุกอย่างจะผ่านไป
คิดได้แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดแอพต่อกต่อกดีกว่าเผื่อมีโมเม้นต์ของชิรันอัพเดต วันนี้เขามีอีเวทต์คู่กับลลินด้วย
ผมเลื่อนจอหาคลิปโมเมนต์น่ารักของคู่จิ้นชิรันลลินที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ ผมมองหน้าจอนิ่ง ไม่ได้เลื่อนต่อจนคลิปเล่นวนไปวนมา แม้สายตาจะจับจ้องจอ แต่ใจผมกลับลอยไปไกลถึงอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นมั้ย ภาพฝันที่ผมจะได้ร่วมงานอีเว้นท์กับชิรัน ยืนคู่กันข้างๆ เขา อาจจะไม่ถึงขั้นแทนที่ลลินเพราะแค่นี้ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ผมก็ยังคงแอบหวัง ภาพฝันนี้เองที่ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปในแต่ละวัน
หลังจากยายเพียงคนเดียวของผมเสียชีวิต ผมตัดสินใจใช้เงินทั้งหมดที่มีขึ้นมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพในคณะนิเทศศาสตร์สาขาการแสดงเพื่อทำตามความฝัน ด้วยความที่โลกใบนี้เหลือผมอยู่คนเดียวแล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมจึงต้องหาเงินมาจ่ายเอง โชคดีที่ผมได้ทุนที่มหาวิทยาลัยทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเทอม แต่แค่ค่ากินอยู่ก็ยังหนักอยู่ดี กระนั้นผมก็สามารถเอาตัวรอดมาได้หนึ่งปีแล้วโดยหวังว่าสักวันจะแคสงานในวงการผ่าน…และสามารถพลิกชีวิตได้สำเร็จ แต่เส้นทางยังคงอีกยาวไกล…ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
แต่กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้!
