บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

“เมื่อตอนกลางวันหายไปไหน ทำไมไม่ไปตามนัด!” คำถามแรกดังขึ้นทันทีที่ฉันเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตซึ่งจอดรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ตอนเลิกเรียน

เมื่อตอนกลางวัน...หลังจากจบประโยคนั้นของยูได ฉันก็เดินลงมาจากดาดฟ้า เพราะรู้สึกเหนื่อยมากพอแล้วจริงๆ กับเรื่องราวความรักที่แสนจะวุ่นวาย

“ขอโทษที พอดีว่าฉันงานยุ่งเลยไม่ได้ไป นายรอนานรึเปล่า”

“เป็นอะไร งานเยอะขนาดนั้นเลยรึไง เหนื่อยมากรึเปล่า” คำถามอ่อนโยนถูกส่งมา ก่อนมือหนาจะเอื้อมมาจับหัวฉันให้เอนไปซบไหล่เขาซึ่งฉันก็ทำตามแต่โดยดีไม่ได้ขัดขืนเหมือนทุกครั้ง

ใครจะมั่นใจได้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้มีโอกาสซบไหล่อุ่นๆ นี้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวินาทีถัดไป

“นายไม่มีอะไรจะบอกฉันเหรอ...”

“ฮะ? เมื่อกี้เธอว่าไงนะ ฉันได้ยินไม่ถนัด”

“เปล่าหรอก ก็แค่คำพูดเรื่อยเปื่อย ก่อนกลับช่วยจอดตรงทางเข้าซอยบ้านที่เราเจอกันครั้งแรกหน่อยได้ไหม ฉันอยากไปที่นั่น” ยูไดไม่ได้ตอบอะไรนอกจากลูบผมฉันเบาๆ แล้วพุ่งทะยานออกไปตามถนนที่ยาวเหยียดไม่เหมือนรักของเรา ที่นับวัน...เวลายิ่งจะเหลือน้อยลงไปทุกที

ถังขยะสีแดงใบนั้นยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน ไม่ไกลนั้นมีม้านั่งสีเขียวดูสะอาดตาวางเรียงเอาไว้เหมือนเช่นเดิม ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาสู่จุดเริ่มต้นของความรักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ของเราทั้งคู่

และใช่…ความรักของเราเริ่มต้นณ ที่แห่งนี้...และฉันก็อยากจะให้มันจบที่นี่เช่นกัน!

“นายรู้ความหมายของคำว่ารอคอยรึเปล่ายู” ร่างสูงที่ยืนพิงรถ ในมือถือบุหรี่ ลดสายตามองมาที่ฉันอย่างจับผิดเพราะเจอคำถามประหลาดเข้าไป

“ความหมายมันก็ตรงตัวอยู่แล้ว เธออยากจะรู้ไปทำไม”

“งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ได้ แล้วนายรู้ไหมว่านับจากวันที่เราเจอกันจนถึงวันนี้ฉันอยู่กับคำว่ารอคอยมานานแค่ไหนแล้ว”

“มันนี่ เธอเป็นอะไรไป”

“การรอคอยที่แสนนานของฉัน...มันมักจะเริ่มต้นด้วยชื่อของผู้หญิงคนนั้นเสมอ เพราะความอ่อนแอของเธอ มันทำให้ฉันต้องเป็นฝ่ายรอคอยอยู่ตลอด”

“.....”

“ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่อยากต้องเป็นฝ่ายรอคอยอีกแล้ว” น้ำตาฉันไหลเป็นทางทันทีที่พูดจบ

บ้าจริง! เป็นฉันอีกแล้วสินะที่ต้องร้องไห้ นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไง ความเจ็บปวดเจียนตายของฉันไม่ต่างอะไรจากเรื่องไร้สาระในสายตาของนายอย่างนั้นใช่ไหม

“เธอเป็นอะไรของเธอมันนี่! ไปได้ยินอะไรมา ใครพูดอะไรกรอกหูเธออีก บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ฟังแค่ฉันคนเดียว” ร่างสูงทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นก่อนจะตรงเข้ามาเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของฉันอย่างแรงด้วยความโกรธ

“ฮึก! เพราะคำพูดที่ว่านั้นมันออกมาจากปากของนายยังไงล่ะ นายบอกว่านายรักเธอ รักผู้หญิงคนนั้น แล้วมาคบกับฉันทำไม ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วนะ!” ทันทีที่สลัดมือทั้งสองของยูไดออกจากไหล่ได้ฉันก็ระดมทุบแผงอกว้างของเขาอย่างบ้าคลั่ง นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ฉันรู้สึกโกรธมากขนาดนี้ ต่างจากร่างสูงที่เอาแต่ยืนนิ่งปล่อยให้ฉันทุบตีอย่างไม่มีทีท่าจะขัดขืน

“ที่ผ่านมานายเคยรักฉันบ้างรึเปล่า ถ้าไม่รักก็ปล่อยฉันไป ฉันไม่อยากอยู่แบบนี้อีกแล้วจริงๆ ปล่อยฉันไป...ได้ไหม” คำถามที่ดังขึ้นเป็นของฉันแท้ๆ แต่ทำไมคนที่ต้องเจ็บปวดถึงกลายเป็นฉัน ผู้ซึ่งเป็นฝ่ายถามคำถามนั้นออกมา น่าขายหน้าชะมัดเลย

“ขอโทษที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวด และขอโทษด้วยที่ฉันไม่สามารถปล่อยเธอไปได้จริงๆ”

“นายมันเห็นแก่ตัวมากยูได! ต่อให้ต้องตายฉันก็จะไม่ขอทนอีก ฉันจะหนีไปจากนาย นายจะไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้มของฉันอีก อ๊ะ!” ยังไม่ทันจะได้ระเบิดความรู้สึกทั้งหมดให้เขาได้รับรู้ ร่างสูงก็กระชากฉันเข้าหาตัวด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ก่อนจะกระแทกริมฝีปากลงมาประกบริมฝีปากสั่นระริกของฉันแล้วบดขยี้มันอย่างไร้ความปรานี ไม่ว่าฉันจะพยายามขัดขืนแค่ไหน ไม่ว่าฉันจะมีสีหน้าทรมานอย่างไร ก็ไม่มีทีท่าว่าจะร่างสูงจะยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดฉันก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับหัวใจตัวเองอยู่เรื่อย

“อย่าได้พูด...ว่าจะไม่ยิ้มให้ฉันเห็นเป็นครั้งที่สองอีก ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดฉันแค่ไหน แต่รอยยิ้มของเธอต้องเป็นของฉันคนเดียว จำเอาไว้!” จบคำริมฝีปากของฉันก็ถูกครอบงำอีกครั้ง และอีกครั้ง ความรู้สึกหวาดกลัวเกิดขึ้นเมื่อได้รับสัมผัสบ้าคลั่งราวกับพายุลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาหาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแต่อย่างใด นี่สินะตัวตนของนาย...แท้ที่จริงแล้วนายมันก็เป็นแค่ผู้ชายใจร้ายที่ฉันต้องหลบหนีไปให้ไกลก็เท่านั้นเอง

เช้าวันใหม่ที่น่าหดหู่เริ่มต้นด้วยอาการตกตะลึงในสภาพที่เริ่มจะใกล้เคียงซากศพเข้าไปทุกขณะของตัวฉันเอง ก่อนจะข่มใจให้ยิ้มร่ารับวันใหม่แล้วเดินออกมาหน้าบ้านเพื่อจะไปเรียน แต่แล้วสายตาก็สะดุดเข้าให้กับร่างสูงใบหน้าคุ้นเคยที่กำลังยืนสูบบุหรี่พิงรถคันหรูอยู่ด้วยท่าทางเซ็งๆ

“ทำไมวันนี้ตื่นสาย” คำถามง่ายๆ ถูกถามขึ้น ก่อนที่ฉันจะทำเป็นไม่สนใจเร่งฝีเท้าให้เดินออกห่างจากยูได แต่ก็ไม่วายถูกมือหนากระชากให้ต้องหันมาเผชิญหน้ากันจนได้ “บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ชอบให้เธอหันหลังให้!”

“แต่ความเป็นจริงตรงหน้ามันเจ็บปวดมากนะยูได เจ็บปวดซะจนฉันยินดีที่จะบอกนายว่าฉันอยากจะหันหลังหนีมันไปให้ไกลๆ”

“ชิบ! เมื่อไหร่เธอจะหายโกรธสักทีมันนี่ เธอก็รู้ว่าฉันง้อใครไม่เป็น” น้ำเสียงผ่อนลงทันทีที่เห็นใบหน้าเฉยชาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาให้ได้เห็นของฉัน

“วันนี้นายไม่ต้องไปรับวาโยรึไง เธออาจกำลังรอนายอยู่ก็ได้”

“ไม่ต้องสนเรื่องของคนอื่น ตอนนี้สนแค่เรื่องของเราก็พอ ขึ้นรถได้แล้ว!”

“นายต้องการอะไรกันแน่ มาทำดีแบบนี้เพื่ออะไร นายน่าจะดีใจที่ฉันอุตส่าห์เปิดทางให้นายได้รักกับผู้หญิงที่นายอยากจะรัก แล้วทำไมถึง...ว้าย!!!” ฉันร้องลั่นทันทีที่จู่ๆ ร่างสูงก็ช้อนร่างฉันขึ้นอุ้ม แล้วจับฉันยัดใส่รถอย่างไม่สนใจอาการขัดขืนร้องประท้วงของฉัน ก่อนที่ตัวเขาจะรีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งประจำที่

“ถ้ามือเธอแตะประตูรถเมื่อไหร่ ฉันจะปล้ำเธอซะตรงนี้!” เสียงเยียบเย็นดังขึ้น ทันทีที่ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ

“นี่!”

“หรือถ้าคิดว่าฉันไม่กล้าจะลองดูก็ไม่เสียหายอะไร” เกลียดยูไดที่เป็นแบบนี้ชะมัดเลย เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง เผด็จการ ไร้เหตุผล ฉันรู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่มีทางแค่ขู่เฉยๆ แน่นอน และเพราะสาเหตุที่ว่านั้นทำให้ฉันจำต้องยอมนั่งสงบเสงี่ยมปล่อยให้ร่างสูงกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วเคลื่อนรถออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

“นี่มันไม่ใช่ทางที่จะไปมหาวิทยาลัยนี่ เรากำลังจะไปไหนกัน!” และฉันก็อดทนไม่ไหวเมื่อเห็นว่าเส้นทางที่ยูไดมุ่งไปนั้นมันคือเส้นทางที่เปล่าเปลี่ยวไม่คุ้นตาเลยสักนิด รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นให้แทนคำตอบที่อยากรู้

“ฉันต้องการคำตอบจากนายนะยู!!”

“เงียบ! ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง” บ้าชะมัด! ทำไมเขาต้องมาตะคอกฉันแบบนี้ด้วยนะ เกลียดตัวเองในเวลาแบบนี้จริงๆ ที่ยอมสงบปากสงบคำตามที่ยูไดขู่ แต่เพราะฉันรู้ดีว่าพูดไปก็เปลืองพลังงานเปล่าๆ เพราะไม่มีอะไรที่คนอย่างยูไดอยากได้แล้วไม่ได้

ผู้ชายที่มีอำนาจมากมายกับหัวใจดวงเล็กๆ ของฉัน!

ไม่นานนักยูไดก็จอดรถที่สวนสาธารณะซึ่งไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง ขณะที่ฉันได้แต่นั่งนิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเอ่ยถามอะไรออกไปดี

สามเดือนที่คบกันมา...

สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมั่นใจในตัวผู้ชายคนนี้อย่างแน่ชัดก็คือ เมื่อไหร่ที่เขาเงียบขรึมนั้น แสดงว่าเมื่อนั้นเขากำลังใช้ความคิดอยู่ และเมื่อถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ ฉันเองก็ควรจะเงียบด้วย

“เธอได้ยินที่ฉันคุยกับวาโยเมื่อวานใช่ไหม” ท่ามกลางความเงียบ ในที่สุดยูไดก็ยอมเป็นฝ่ายเริ่มต้นด้วยคำถามที่ทำเอาฉันชาวาบไปทั้งร่างกายในเวลาไม่กี่วินาที

“ใช่”

“แล้วเธอก็โกรธ...”

“หรือนายคิดว่าฉันควรจะดีใจ!”

“อย่าประชด มันจะส่งผลไม่ดีกับตัวเธอเอง” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที แค่บอกมาว่าไม่ต้องการฉันแล้ว แค่เพียงคำพูดคำนั้นที่ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะฟังของเขา...ทุกอย่างก็จบลงแล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่ยอมพูดมันออกมาสักที!

“ฉันเคยบอกเธอไปแล้ว ว่าวาโยคือคนที่ฉันเคยรัก”

“...และไม่ว่าจะเมื่อไหร่นายก็ยังตัดใจจากเธอไม่ได้สักที” ฉันเติมเต็มประโยคที่คิดว่ายูไดคงจะอยากพูดต่อให้จบก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เขา

“งั้นนายช่วยบอกฉันทีสิยู...ว่าสำหรับนาย ฉันเป็นอะไรกันแน่ คนรัก หรือว่าตัวแทนของวาโย นายรักฉันประชดที่ไม่ได้ความรักตอบจากเธอรึเปล่า”

“หยุดพูดอะไรที่มันจะทำให้เธอต้องเป็นฝ่ายเจ็บปวดสักที”

“งั้นนายก็บอกมาสิ ว่าทำไมถึงได้มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเจ็บปวด! เจ็บปวดที่ต้องรอนายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นแววตาอ่อนโยนของนายเวลามองเธอคนนั้น แววตาที่ไม่เคยมองมาที่ฉันเลยแม้สักครั้งเดียว!”

“.....”

“นายดูไม่ออกหรือว่าแกล้งทำเป็นไม่สนใจกันแน่ ว่าฉันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องทนมองดูคนรักของตัวเองไปดูแลคนอื่น!”

“.....”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel