บทที่ 2
[Yudai Talks]
หลังอุ้มวาโยออกมาจากผับ ผมก็ขับรถไปส่งเธอที่คอนโดฯ เพราะวาโยเป็นลูกสาวของเพื่อนรักของแม่ผมที่จากไปนานมากแล้ว เราทั้งคู่เลยรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ รวมไปถึงไรเฟิล เพื่อนรักคนแรกและคนเดียวของผม...
วาโยเป็นผู้หญิงขี้โรคมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และทุกครั้งที่เธอร้องไห้ ผมก็มักจะคอยอยู่ข้างๆ เธอเสมอ ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องนั้น พอนานวันเข้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความรักเข้ามาแทนที่
ความรักที่มีให้วาโยมันเกิดขึ้นรวดเร็ว ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะหัวใจของคนเรามันห้ามกันไม่ได้ ผมไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามใจของเธอที่มันรักแต่ไอ้ไรเฟิลคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าผมจะพยายามเท่าไหร่... ก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจของเธอได้เลยสักนิด
ในวันแรกที่เจอมันนี่คือวันที่ผมบอกกับวาโยว่าจะเลิกรักเธอ ในวันที่หัวใจของผมกำลังร้องไห้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่จู่ๆ ก็ยื่นร่มคันเดียวที่มีอยู่มาให้ผมโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะต้องเปียกฝน รอยยิ้มเล็กๆ ที่ได้รับในวันนั้นมันช่างอบอุ่นซะเหลือเกิน
มันนี่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่โดดเดี่ยวจนผมอยากจะปกป้องเธอให้หลุดพ้นจากความเหงาที่มี เพื่อตอบแทนรอยยิ้มที่จริงใจในวันนั้นที่เธอมีให้ เราคบกันบนพื้นฐานของแรงกดดัน ผมอาจจะเลว... ที่คิดว่าถ้าได้รักใครสักคนแล้วจะสามารถลืมวาโยได้
แต่ผมคิดผิด!
มันนี่สำหรับผมแล้ว เธอไม่ได้เป็นแค่ตัวแทนของใคร แต่เป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่เบ่งบานในวันที่ฝนตกหนัก ดอกไม้ดอกน้อย ที่ไม่ว่าจะถูกพายุพัดโหมแค่ไหน มันก็ยังคงจะเบ่งบานต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นมันนี่หรือวาโย...ผมก็ไม่อยากจะสูญเสียใครไปทั้งนั้น และเพื่อรอให้เธอได้พบกับความสุข ผมจะขอดูแลเธอไปเรื่อยๆ ด้วยความรักทั้งหมดที่มีให้
“ขอบใจนะยู มีนายอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ฉันรู้สึกปลอดภัยจัง นายดีกับฉันเสมอ ทั้งๆ ที่ฉันทำร้ายนายครั้งแล้วครั้งเล่า...” เสียงใสที่ดังขึ้นทำให้ผมหยุดความคิด ก่อนจะหันมาสนใจร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงสีขาว
“พักผ่อนเถอะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเธอจะหลับ”
“พอตื่นมา ฉันก็จะไม่เจอนายแล้วใช่ไหม เพราะฉันไม่รักนาย นายก็เลยรักผู้หญิงคนนั้นเพื่อประชดฉัน นายกำลังทำร้ายเธอนะยู ทางที่ดีนายควรที่จะปล่อย....”
“เธอลืมกฎหนึ่งข้อของฉันไปแล้วรึไงโย...”
“.....”
“ถ้าเมื่อไหร่ที่ฉันได้จับมือใครสักคนแล้ว ฉันจะไม่มีวันปล่อยมืออย่างเด็ดขาด หลับตาลงซะ เธอควรจะพักผ่อนได้แล้ว” ถึงจะรู้สึกขัดใจเพราะนิสัยที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ แต่วาโยก็ยอมหลับตาลงช้าๆ ตามคำขอของผมอย่างว่าง่าย
ทำไมถึงได้รู้สึกโกรธนะ...แค่วาโยบอกให้ผมปล่อยมือจากมันนี่ ความรู้สึกใจหายพวกนี้นี่มันอะไรกัน ความรักมันเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่งได้สักกี่ครั้ง ก็สุดจะคาดเดาได้แล้วจริงๆ ในตอนนี้
เสียงออดที่ดังในยามดึก ทำให้ฉันต้องขุดซากของตัวเองขึ้นจากเตียง ก่อนจะเพ่งสายตาไปที่นาฬิกาหัวเตียงอย่างงัวเงีย
ตีสอง! ใครกันนะมาซะดึกขนาดนี้ ขโมยรึไง ไม่สิ! จะมีขโมยโลกไหน มีมารยาทกดออดก่อนปล้นบ้างเล่ายัยมันนี่ ประสาทชะมัด
ฉันมองผ่านช่องตาแมวแล้วพบว่าผู้มาเยือนยามวิกาลไม่ใช่ใครที่ไหน
ยูได...เขามาทำอะไรที่นี่ในเวลาแบบนี้กันนะ ฉันยังไม่อยากเจอเขาในสภาพที่ตาบวมแบบนี้เลย ให้ตายสิ ไม่น่าร้องไห้หนักขนาดนั้นเลย ทำไงดีนะ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเลยดีไหม
“ฉันรู้ว่าเธออยู่หน้าประตู จะเปิดดีๆ หรือว่าจะให้ฉันพังมันเข้าไป” เล่นขู่กันแบบนี้พังเข้ามาเลยไม่ดีกว่ารึไง ถึงจะไม่อยากแค่ไหน แต่ฉันก็จำใจต้องเปิดประตูห้องให้ยูไดเข้ามาจนได้
นัยน์ตาสีเทาจ้องมองฉันที่ได้ยืนเงียบ พยายามก้มหน้าปิดบังดวงตาที่บวมช้ำอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่เขาจะเดินจูงมือฉันเข้าห้องอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งปิดประตูตามหลังมาติดๆ
“แขนไปโดนอะไรมา ทำไมเป็นรอยแดงแบบนั้น” ความจำสั้นแต่รักฉันยาวสินะ ยูไดคนบ้า!
“ถูกแมวมันข่วนเอาน่ะ อย่าใส่ใจเลย รอยแค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอก”
“จะรอยแค่นี้หรือว่าแค่ไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น ผู้หญิงของฉัน ฉันจะไม่ให้มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว ผิวขาวๆ ช้ำหมดเลยดูสิ” ใบหน้าอ่อนโยนมองมาที่ฉันชั่วครู่ ก่อนมือหนาจะลูบบริเวณแขนที่เป็นรอยจ้ำแดงๆ เพราะถูกเขาบีบอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่เบาหวิวนี่ทำเอาหัวใจฉันพองโตขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำแบบไหน... ยูไดก็ไม่เคยทำให้ใจฉันหยุดเต้นรัวได้เลย
“เจ็บมากไหม”
“ฮะ! ไม่หรอก แค่นี้เอง สบายมาก ไม่เจ็บเลยสักนิด” ตอนที่เห็นนายอุ้มวาโยผ่านหน้าไปนั่นน่ะเจ็บกว่านี้เป็นล้านเท่า น่าเสียดายที่ฉันไม่กล้าพอ ที่จะเอ่ยประโยคนี้ต่อท้ายไปให้เขาได้รับรู้
“ฉันหมายถึงใจเธอ...เจ็บมากรึเปล่ามันนี่” คำถามแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากยูไดทำให้ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสงสัย ถามแบบนั้นอยากจะได้คำตอบแบบไหนกันแน่นะ
“เธอคงจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า อาจจะคิดว่าฉันใจร้ายกับเธอ แต่รู้ไหมว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ฉันอยู่ใกล้แล้วรู้สึกอบอุ่น”
“มากกว่าวาโยด้วยรึเปล่า” ยังไงซะ ฉันก็อดที่จะคาดหวังคำตอบของคำถามไม่ได้ไม่ว่าเขาจะตอบกลับมาแบบไหนก็ตาม มันก็ล้วนมีอิทธิพลต่อหัวใจของฉันอย่างมากเลยทีเดียวเชียว
“มากกว่าผู้หญิงทุกคนในโลก รู้แบบนี้แล้วจะยิ้มให้ฉันได้รึยัง ฉันขับรถมาไกลเพราะอยากจะเห็นมันโดยเฉพาะเลยนะ รอยยิ้มที่สดใสของเธอ” ทำไมคราวนี้ฉันถึงอยากจะร้องไห้มากกว่าจะส่งยิ้มไปให้เขาตามคำขอนะ อย่างน้อยๆ ในวินาทีนี้ยูไดก็อยู่ตรงหน้าฉันแล้ว เขาไม่ได้มองเห็นฉันไร้ค่าอย่างที่ฉันคิดมาตลอดหนึ่งเดือน... และเขาเพิ่งจะบอกว่าอยู่ใกล้ฉันแล้วรู้สึกอบอุ่น
“ถ้างั้นฉันจะไม่อยู่ห่างจากนายเลยดีไหม นายจะได้ไม่ต้องหนาวไง”
“ได้แบบนั้นก็เยี่ยมเลย” จบคำพูดนั้นริมฝีปากหนาก็ครอบครองริมฝีปากของฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำในเวลาอันรวดเร็ว ตั้งแต่คบกันมายูไดเคยจูบฉันมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็จริง แต่จูบในครั้งนี้กลับต่างออกไป...ราวกับว่าเขาต้องการจะสื่อคำพูดบางอย่างออกมาผ่านรสจูบที่วิเศษนั้นก็ไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกหรือผิด หรือฉันอาจจะต้องเสียใจและร้องไห้หนักกว่าเก่า... แต่ฉันจะอยู่ใกล้ๆ นายเสมอนะยู
จนกว่าถึงวันที่นายไม่ต้องการความอบอุ่นนี้ จนกว่าจะถึงตอนนั้น ฉันจะยิ้มให้นายแล้วยอมที่จะเดินจากไปอย่างเงียบๆ เอง
“>/////