บทที่ 1
[K-Pub]
“มันนี่ ทางนี้ๆ”
เสียงใสๆ ดังขึ้นทันทีที่ฉันก้าวขาย่างกรายเข้ามาใน K-Pub สถานที่ที่ยูไดสั่งห้ามไม่ให้ฉันมาเหยียบ โดยให้เหตุผลว่ามันอันตราย อันตรายต่อผู้หญิงที่อ่อนต่อโลกอย่างฉัน แต่เพราะความรู้สึกบางอย่างมันทำให้ฉันข่มตานอนไม่หลับ จำต้องออกมาตามคำชวนของเพื่อนสนิทอย่างยัยวิเวียนที่เป็นนักเที่ยวตัวยงเลยก็ว่าได้
“แกใส่ชุดอะไรของแกมาเนี่ย!” ยัยวิเวียนตะโกนลั่นพร้อมกับกุมขมับทันทีที่เห็นสภาพฉัน ฉันได้แต่มองค้อนยัยเพื่อนรักที่กล้ามาทำลายความภาคภูมิใจในความเป็นคนรักนวลสงวนตัวของฉัน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบด้วยใบหน้านิ่งๆ
“ทำไมล่ะ หรือแกว่ามันโป๊ไป”
“มันไม่โป๊เลยต่างหากยัยเซ่อ! มีใครที่ไหนบ้างใส่กระโปรงยาวลากพื้นกับเสื้อยืดแขนยาวสีเชยๆ มาเที่ยวผับน่ะฮะ! นี่แกผ่านด่านตรวจเข้ามาได้ยังไงเนี่ย ให้ตายสิ” ฉันทำเป็นไม่ใส่ใจกับคำพูดที่ได้ยินจนชินของยัยวิเวียนแล้วทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาข้างๆ ยัยนั่น ก่อนจะกวาดมองไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้าให้กับเรือนผมสีเทาคุ้นตาที่เพียงได้เห็นครั้งแรกก็จำได้แม่น ทว่าข้างกายของผู้ชายคนนั้นนั่นมัน...
“นั่นมันยูไดแฟนแกนี่ แล้วข้างๆ นั่นใคร” คำถามที่ดังขึ้นจากเพื่อนสนิทไม่ได้ลอยเข้าโสตประสาทการรับรู้ของฉันเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ในใจฉันกำลังภาวนาให้สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้คือภาพลวงตา ผู้ชายที่กำลังโอบกอดผู้หญิงอีกคนตรงหน้าไม่ใช่ยูได
คนรักของฉัน!
จู่ๆ น้ำตาที่สะสมมานานหลายชั่วโมงของฉันก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ว่าจะโกหกตัวเองด้วยคำพูดที่สวยหรูสักเท่าไหร่...คนตรงหน้าฉันก็ยังเป็นเขาอยู่ดี
และผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาในตอนนี้...วาโย!
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านมืดดำไปหมด ทันทีที่คว้าแก้วเหล้ามาได้ ฉันก็กระดกมันเข้าปากอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นความกล้า ที่จะทำบางสิ่งที่ตรงกับใจตัวเองสักที ฉันยกมือขึ้นปาดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเริ่มออกเดิน
“มันนี่ แล้วนั่นแกจะไปไหนน่ะ!” เพราะเสียงของเพื่อนรักทำให้ฉันชะงักเท้าลง หันไปส่งยิ้มเรียบเฉยให้ยัยนั่นแล้วเอ่ยบอก
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับก่อนนะ” ก่อนจะออกตัวเดินอีกครั้ง จุดหมายปลายทางที่ว่า...แน่นอนอยู่แล้วคือต้องค่อยๆ จากไป ทำเหมือนไม่เห็นภาพบาดตาตรงหน้านั่นไปซะ เพราะยังไงสถานะตัวตายตัวแทนอย่างฉัน...ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อยูไดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“โทษที เธอเป็นอะไรมากรึเปล่า” เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาโดยไม่มองดูทางตรงหน้า ทำให้ฉันเผลอชนกับใครบางคนอย่างจังจนล้มลงกระแทกพื้น
“เฮ้! เธอโอเครึเปล่ายัยเปี๊ยก ตัวเท่าลูกแมว นั่งอยู่แบบนั้นไม่กลัวถูกเหยียบรึไง” เพราะน้ำเสียงที่แสดงถึงอารมณ์คุกรุ่นทำให้ฉันอดที่จะเงยหน้ามองร่างสูงที่เป็นต้นเหตุให้ฉันต้องล้มกลิ้งอย่างที่เป็นอยู่ด้วยสายตาเอาเรื่องไม่ได้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาเข้า
ทำไมชีวิตฉันถึงได้หนีไม่พ้นผู้ชายหน้าตาดีนิสัยแย่สักทีนะ
ใบหน้าคมคาย เรือนผมสีดำสนิท จมูกโด่งเป็นสันเข้ากันกับใบหน้าที่หยิ่งจองหองได้เป็นอย่างดี คิ้วหนาทั้งสองของเขาเริ่มขมวดเข้าหากัน เมื่อฉันเผลอตัวแอบจ้องมองเขานานเกินไปหน่อย
“หยุดมองเหมือนจะกลืนกินฉันแบบนั้นสักที ก่อนที่เธอจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป เพราะสายตายั่วยวนแบบนั้น”
“อะ...เอ๊ะ!”
“รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า ก่อนที่เธอจะถูกเหยียบตาย” มือหนาค่อยๆ เอื้อมส่งมาให้อย่างเป็นมิตร ทำไมกันนะ เวลาอยู่ต่อหน้าหมอนี่ ชายแปลกหน้าที่ฉันเพิ่งจะเคยพบ ฉันกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วความรู้สึกอบอุ่นก็แปรเปลี่ยนไปทันทีที่จู่ๆ ก็มีมือหนาของใครบางคนกระชากแขนฉันให้ลุกขึ้น ก่อนที่ฉันจะได้ทันรับความหวังดีของนายหัวดำ
“เธอมาทำอะไรที่นี่...มันนี่!” น้ำเสียงโกรธกริ้วดังก้องใส่ทันทีที่ฉันหันไปสบตา ยูได! เขามาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ไม่สิ...นอกจากยูไดแล้ว ยังมีร่างบางอีกคนที่ได้แต่ยืนแน่นิ่งสายตามองชายแปลกหน้าที่มือหนายังคงยื่นค้างอยู่กับที่
“ระ...ไรเฟิล!”
แต่ก่อนที่ฉันจะได้ถูกยูไดบีบจนแขนหัก น้ำเสียงสั่นเครือก็หลุดลอยออกมาจากปากยัยวาโย พร้อมทั้งหยดน้ำตาเม็ดเล็กๆ ที่ไหลริน ดูเหมือนว่า ‘ไรเฟิล’ จะคือชื่อของเขาคนนี้สินะ!
“หูแตกรึไงมันนี่ ฉันถามว่าเธอมาทำอะไรในที่แบบนี้” ยูไดยังคงตั้งคำถามซ้ำๆ ซากๆ มาให้กับฉันอย่างไม่ลดละ หนำซ้ำแรงบีบที่เขามอบให้มันก็ค่อยๆ เพิ่มแรงขึ้นเป็นเท่าตัว จนฉันต้องร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บ...
“ฉันเจ็บนะยู”
“เธอจะยิ่งเจ็บมากกว่านี้ ถ้ายังไม่ตอบคำถามฉัน!”
“แล้วนายล่ะ...มาทำอะไรที่นี่” เมื่อเจอกับคำถามที่เหมือนกันของฉันเข้าไป ยูไดก็ถึงกับเงียบสนิท เขาหันไปมองวาโยที่ตอนนี้ได้แต่ยืนร่ำไห้ ก่อนจะหันมามองฉันอีกครั้ง ถ้าฉันร้องไห้ออกมาบ้างในตอนนี้ นายจะมองฉันด้วยสายตาห่วงใยเหมือนที่มองเธอคนนั้นไหมนะเพราะฉันผิดที่เข้มแข็งมากเกินไปสินะ!
“ดูเหมือนว่าเธอจะยังรักฉันอยู่อีกสินะวาโย เมื่อไหร่จะเข้าใจซะที ว่าฉันเกลียดผู้หญิงแบบเธอที่สุด!” น้ำเสียงที่ดังขัดบรรยากาศที่ตึงเครียดเป็นของไรเฟิล ชายหนุ่มที่จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงร้อยพันมารยานั่น
“หุบปากของแกไปซะไรเฟิล และรีบไสหัวไปให้พ้นก่อนที่ความอดทนของฉันจะหมดลง!” ยูไดพูดด้วยเสียงกดต่ำพร้อมกับตวัดหางตามองไรเฟิลอย่างเดือดดาล และคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่เพิ่มแรงบีบที่แขนของฉันเข้าไปด้วย
“เย็นชาจังเลยนะเพื่อนรัก ยัยนี่มีอะไรดีนักหนา ก็แค่ผู้หญิงอ่อนแอที่น่าสมเพช...”
“แกไม่ใช่เพื่อนฉันตั้งแต่วันที่แกทำร้ายวาโย! ไรเฟิล และถ้าแกยังไม่อยากตาย...ไสหัวไปซะ!” ความรู้สึกที่ว่าสงครามเย็นกำลังจะเกิดขึ้นนี่มันอะไรกันนะ เขาสองคนเคยเป็นเพื่อนกันอย่างงั้นเหรอ เวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา...ฉันไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับยูไดเลยสักนิด! เพราะมันไม่สำคัญสินะ!
“แล้วเจอกันอีกนะยัยเปี๊ยก ดูท่าว่าต่อไปคงจะมีเรื่องสนุกๆ ให้ฉันได้ทำอีกมากทีเดียว และตัวละครที่จะช่วยฉันเปิดม่านการแสดงในครั้งนี้...ดูเหมือนจะเป็นเธอนะสาวน้อย” จบคำสั่งลาที่ทำเอายูไดแทบจะกระโดดเข้าไปชกหน้าหล่อๆ นั่นแต่ก็ถูกฉันฉุดแขนเอาไว้ก่อน ไรเฟิลก็เดินลอยหน้าลอยตาจากไปพร้อมกับความเงียบที่หวนกลับมาอีกครั้ง
ร่างบอบบางของวาโยทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีที่หมอนั่นเดินผ่านเลยไปอย่างไม่แสแย ว่าตอนนี้ยัยนั่นจะร้องไห้หนักแค่ไหน จะสงสารหรือว่าสมน้ำหน้าดีนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวเท่าไหร่นัก แต่เท่าที่ฉันรู้ คนที่ผิดก็คือยัยนั่น หากจงรักภักดีกับยูได...จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดมันคงจะดีกว่านี้เป็นแน่
“ไปสิ ดูเหมือนว่าตอนนี้วาโยกำลังต้องการใครสักคนอีกแล้วสินะ” ใบหน้าเรียบเฉยตวัดมามองทันทีที่ฉันพูดจบ ฉันได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ไปให้ยูไดเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าฉันใจกว้างแค่ไหน รอยยิ้มที่มีให้...ยากเย็นเหลือเกินกว่าจะส่งออกไป
“ขอบใจที่เธอเข้าใจ ฉันดีใจที่มีเธอ” ไม่เลยยูได ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยตั้งแต่ต้น แต่เพียงเพราะสายตาของนายมันบ่งบอกว่าอยากจะปกป้องผู้หญิงคนนั้นมากมายมหาศาล แล้วแบบนี้จะให้ฉันใจดำขัดขวางหัวใจของนายได้ยังไง เพราะความรู้สึกที่ว่าอยากจะปกป้องใครสักคน...ฉันคนนี้ย่อมรู้ดีกว่าใครทั้งนั้น!
นายเองก็ปกป้องวาโยไปเถอะนะ...ส่วนฉันคนนี้จะอาสาปกป้องหัวใจของนายเอาไว้ให้เอง ในฐานะอะไรก็ช่าง ขอแค่ในทุกๆ วันมีนายอยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้วจริงๆ
