ตอนที่9 ไม่มีสถานะอื่น
“หมดเวลาสบายของเธอแล้ว” เสียงเข้มพร้อมแรงเขย่าที่ตัวทำให้พลับพลึงสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก
สิ่งแรกที่เห็นคือคนใจร้ายที่ย่ำยีร่างกายของเธออย่างป่าเถื่อนนานสองนาน คนที่ทำให้เธอมีสภาพหนักอึ้งไม่อยากขยับเลยสักนิด
“ลุก!” เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับดึงแขนเธอให้ลุกเมื่อเธอยังนอนนิ่งไม่ขยับ
“จะเอาอะไรกับพลับอีก” เสียงแหบแห้งดังขึ้นถามอย่างอ่อนล้า
เธอเหนื่อย เพลีย สิ้นพละกำลัง
“ให้เวลาห้านาทีรีบไปจัดการตัวเองซะ ไม่งั้นฉันจะลากเธอลงไปทั้งสภาพแบบนี้” คำสั่งดังขึ้นอย่างข่มขู่เหมือนทุกครั้ง พูดจบก็โยนเสื้อผ้าในมือไปตรงหน้าเธอ ยืนรอด้วยสายตากดดันไม่ขยับไปไหน
พลับพลึงเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้ หยิบกางเกงยีนกับเสื้อยืดตรงหน้ามาไว้ในมือ พยายามฝืนร่างกายตัวเองลุกจากเตียงจนขาสั่นแทบยืนไม่ไหว
“อย่าสำออย” เขาว่าให้เธออย่างไม่เห็นใจ เหมือนลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนเขารังแกเธอหลายชั่วโมง จับฉีกเข้งฉีกขาของเธอจนเส้นตึงเกร็งไปหมด
ความเหมือนที่ต่างจากในอดีต
“ต่อไปอย่าดื้อกับพี่ พี่ไม่อยากทำให้พลับเจ็บ”
บอกเสียงนุ่มเมื่อใจเย็น อุ้มส่งถึงที่ไม่ให้เธอเดินด้วยขาสั่นๆ หาข้าวหาปลารอให้กินไม่ต้องหิ้วท้องหิว ให้นอนพักจนกว่าจะดีขึ้น
ผิดกับตอนนี้เหมือนคนละคน
พลับพลึงพยายามหยุดเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน ฝืนกลั้นความทรมานของร่างกาย พาตัวเองตรงไปยังห้องน้ำที่คุ้นเคยในห้องนอนของเขา
ทำธุระส่วนตัวทั้งที่อยากทิ้งตัวแล้วหลับไปเดี๋ยวนี้ แต่ก็ทำไม่ได้
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จออกจากห้องน้ำ เธอก็ได้รับข้าวเปล่าหนึ่งจานเหมือนเดิม เขาจะเวทนาให้ไข่เจียวเธอสักฟองไม่ได้จริงๆ เหรอ ให้เธอทำเองก็ได้หรือเปล่า
“หรือจะไม่กิน?” เมื่อเห็นเธอเงยมองหน้าเขาอย่างตัดพ้อ เวกัสก็ย้อนถามอย่างไม่สนใจแม้แต่น้อย
“.....” แล้วจะทำอะไรได้นอกจากรับจานข้าวเปล่ามากินอย่างไร้ทางเลือก ตามด้วยน้ำเปล่าปิดท้าย
“ตามมา” เขาสั่งก่อนจะนำไปที่ลิฟท์ พาเธอลงชั้นล่าง เดินออกไปยังส่วนโดมที่เป็นจุดซ่อมบำรุงรถ งานหนักๆ ที่มีแต่พนักงานผู้ชาย
“พี่พาพลับมาที่นี่ทำไม” ถามอย่างหวาดระแวง แม้จะเป็นเวลากลางวันแสกๆ แต่เธอก็ไม่ไว้ใจคนอย่างเขา
“ทำงานของเธอ”
“งานอะไร” งานที่เขาว่าหมายถึงอะไร ถ้าเกี่ยวกับรถตรงนี้มีแต่งานแรงงาน เธอจะมีแรงพอให้ช่วยเหลืออะไรได้ หรือถ้าให้ซ่อมเธอไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด
เวกัสไม่ได้ตอบ เดินเข้าไปกลางโดมก่อนจะพูดกับคนงานให้ได้ยินพร้อมกัน
“นี่คนงานใหม่จะมาช่วย ใช้เธอได้เต็มที่...”
“อะไรที่สอนได้ก็สอน อะไรที่สอนแล้วทำไมได้ก็ด่าไม่ต้องเลี้ยง” เวกัสพูดขึ้นอย่างเป็นที่เข้าใจกันดี
เล่นเอาพนักงานในอู่หันมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน เพราะพนักงานมากกว่าครึ่งทำงานที่นี่มานานแล้ว นั่นทำให้รู้ถึงอดีตของความสัมพันธ์ระหว่างเวกัสกับพลับพลึงดี
แม้จะรู้ว่าทั้งคู่เลิกรากันพร้อมกับเวกัสมีแฟนใหม่ แต่การที่พลับพลึงที่เป็นแฟนเก่าอยู่ที่นี่ ยังไงก็ไม่มีใครกล้าพอจะใช้หรือด่า
“จำไว้ว่ายัยนี่เป็นพนักงาน ไม่มีสถานะอื่น” เหมือนจะมองสีหน้าของพนักงานออกเลยย้ำออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เตือนให้ทุกคนรู้ว่าเขากับพลับพลึงไม่ได้เป็นอะไรกัน
พลับพลึงที่ยืนฟังเวกัสมาตั้งแต่แรกก็สบายใจขึ้นบ้าง เพราะอย่างน้อยเขาก็ใช้งานเธอที่เป็นงานจริงๆ แม้ต้องการทรมานเธอด้วยการเอามาใช้แรงงานที่เธอไม่ได้ถนัดหรือมีความรู้อะไรเลยสักนิด แต่ก็ยังดีกว่าการกลั่นแกล้งรุนแรงที่เล่นกับความรู้สึก
“เข้าใจที่พูดใช่ไหม!” เวกัสย้ำถาม
“ครับ” ทุกคนตอบรับอย่างทำอะไรไม่ได้ยังไงก็ต้องฟังเจ้านายมากกว่าใคร
“ทำหน้าที่เธอให้ดี ถ้าทำงานไม่ได้เรื่องหรือคิดอู้ได้เจอดีแน่” หันไปขู่อีกคนก่อนจะเดินกลับเข้าไปในออฟฟิศคืน
“งั้น เดี๋ยวพลับมาเรียนรู้เรื่องเครื่องมือก่อนแล้วกัน จะได้ช่วยหยิบจับได้ง่ายๆ” บาสรุ่นน้องของเวกัสที่ทำงานที่นี่ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงตอนนี้ และเคยเห็นพลับพลึงบ่อยมากตอนยังคงกับเวกัส เป็นคนพูดขึ้น
“ค่ะ” พลับพลึงที่เป็นรุ่นน้องตอบรับก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
แล้วบาสก็เริ่มสอนให้เธอจดจำเครื่องมือตรงหน้า เผื่อช่างบางคนลอดเข้าใต้ท้องรถแล้วขาดเหลืออะไรจะได้วิ่งช่วยหยิบจับได้ คงเป็นงานเดียวที่เหมาะกับผู้หญิงแล้ว
พลับพลึงยืนจำสิ่งที่บาสสอนอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้จำได้หมดในทีเดียว ยังดีที่เครื่องมือบางประเภทมีตัวเลขบอกเบอร์ แค่จำว่ามันเรียกอะไรก็ง่ายขึ้นมาหน่อย
แต่รวมๆ ก็ถือว่ายากสำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้มีความรู้หรือความสนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย เธอนั่งยองๆ กับพื้นจำเครื่องมือต่างๆ พร้อมกันนั้นสายตาก็กวาดมองการทำงานของคนอื่นๆ ไปด้วย
อดีตที่เคยมากกตัวอยู่ที่นี่ทุกวันทุกคืน อาจจะมีบ้างที่ช่วยเหลืองานเวกัส แต่งานส่วนใหญ่ก็เอกสารหรือบัญชีที่เขาให้เธอช่วยดูหลังพนักงานนำมาส่งให้ ถ้าจะลงมาตรงนี้ก็คือมานั่งดูเขาทำเครื่องรถย์ที่ไม่เคยหยิบจับอะไรเลย
ที่สำคัญ เขาไม่ค่อยชอบให้เธอมาตรงนี้
“ตรงนั้นผู้ชายเยอะ พี่ไม่ชอบให้ใครเห็นพลับ”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย อีกอย่างก็คนกันเองทั้งนั้น”
“ไม่ได้ พี่หวง”
“เวอร์!”
“ไม่อยากให้ใครมองพลับ ไม่ชอบให้ใครเชยชมความสวยของเมียพี่...”
“อีกอย่างตรงนั้นค่อนข้างร้อน เสียงก็ดัง กลิ่นน้ำมันเครื่องอีก เลอะเทอะไม่น่าไปหรอก”
แล้วตอนนี้ล่ะ เขาผลักเธอเข้ามาโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะทำเป็นหรือเปล่า จะทำได้ไหม หรือใครจะมองเธอแค่ไหนก็ไม่สนใจแล้ว
“นี่เหรองานของเธอ” ผ่านไปประมาณชั่วโมงกว่าที่เวกัสยืนมองพลับพลึงจากห้องทำงานผ่านหน้าต่างกระจก เห็นเธอนั่งที่เดิมไม่ขยับไปไหนจนเขาต้องลงมาอีกครั้ง ถามคนงานใหม่ที่เข้างานมาชั่วโมงกว่าแล้วแต่ยังไม่ทำอะไรสักอย่าง
“อยากรับผิดชอบความเสียหายให้ลูกค้าเพราะพลับไหมล่ะ” เธอเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนตรงหน้าแล้วย้อนถามกลับไป อยากแกล้งเธอจนยอมแลกกับการที่เธออาจจะทำให้ร้านเขาเสียชื่อเสียงได้เลย
“ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมฉันต้องรับผิดชอบ คนทำแบบเธอสิที่ต้องแก้ปัญหา”
“พลับไม่ได้มีเงินพอรับผิดชอบใครได้ จะให้ฟ้องขึ้นโรงขึ้นศาลก็มีแต่ร้านพี่นั่นแหละเสียกับเสีย”
“ปากดีนะ” เวกัสว่าให้คนที่เถียงคำไม่ตกฟาก
“หัดปากดีเหมือนพลับบ้างก็ได้ อย่าเอาแต่ปากเสีย” คนที่นั่งบ่นอุบแต่ไม่ลดเสียงให้เบาอย่างตั้งใจ
“ลุกมา!” เวกัสพยายามระงับอารมณ์ตัวเอง ถ้าคนตรงหน้าเป็นผู้ชายนี่กระชากเสื้อต่อยไปนานแล้ว แต่เพราะเป็นผู้หญิงเลยไม่อยากได้เชื่อว่าเก่งแต่กับผู้หญิง กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นงานที่ไม่ส่งผลต่อลูกค้าจึงสั่งเธอขึ้น
พลับพลึงมองเวกัสอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามหลังเขาไป จนมาหยุดที่ยางรถยนต์ที่ถอดเสร็จไม่นานเพราะลูกค้ามาเปลี่ยนเทิร์น
“เอาไปเก็บตรงนั้น” เวกัสชี้นิ้วสั่งให้เธอรู้ถึงตำแหน่งที่ต้องนำยางเก็บ
พลับพลึงมองตามอย่างรับรู้ เดินเข้าไปยกยางเส้นสีดำขึ้นมาหนึ่งวง แล้วกลิ้งมันไปข้างหน้าจนถึงจุดที่เก็บยางตั้งเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบ กลับมาทำเหมือนเดิมเรื่อยๆ จนครบสี่เส้น
ยอมรับเลยว่าแค่กลิ้งยางไปแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว เหมือนจะง่ายและไม่หนัก แต่พอทำจริงก็ไม่ได้เบาจนทำสบายๆ ขนาดนั้น
“ยกขึ้นซ้อนกัน” เวกัสเดินตามพลับพลึงที่กลิ้งเส้นสุดท้ายไปแล้วสั่งเธอขึ้น เพราะเธอแค่กลิ้งมาแล้วปล่อยลงพื้นจนกินพื้นที่ไปหมด
“.....” พลับพลึงหันมาชักสีหน้าใส่คนสั่งแต่ก็หันกลับไปทำ ดันเส้นแรกไปใกล้ๆ กับแถวที่มีอยู่ตอนแรก ยกเส้นที่สองขึ้นไปซ้อน
แรงที่ยังเหลือถือว่ายังง่ายอยู่กับเส้นที่สอง พอเส้นที่สามเริ่มลำบากจนแทบยกไม่ไหว แล้วมาหนักสุดเส้นที่สี่ ทั้งแรงที่หมดลงเรื่อยๆ ทั้งความสูงที่ซ้อนกันจนเธอต้องใช้แรงมากกว่าเดิม
ปั่ก!
“อะ!” พลับพลึงร้องขึ้นพร้อมกับกุมท้องตัวงอ เมื่อเธอพยายามยกยางเส้นสุดท้ายขึ้นไปทับซ้อนกัน แต่มันกลับเด้งตกแล้วกระแทกกับท้องของเธอไม่เบาเลย
ร่างสูงที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ตั้งแต่แรกขยับยกมือไปในเสี้ยววินาทีแรก แต่ก็เปลี่ยนใจขยับยื่นมือไปจับยางไว้ไม่ให้มันกลิ้งไปชนข้าวของอย่างอื่นปรับสีหน้าแววตามาเหมือนเดิม แล้วหันมามองคนที่นั่งกุมท้องด้วยความจุก
“สมน้ำหน้า”
พลับพลึงได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเวกัส แววตาของเธอแสดงออกถึงความเจ็บปวด ดวงตากลมกลอกกลิ้งไปด้วยหยาดน้ำตา ก่อนเสียงแหบพร่าจะดังขึ้นอย่างคนอ่อนแรง
“พลับ...ปวดท้อง”
พรึ่บ!
