ตอนที่10 รักไม่แพ้กัน
คนที่บอกคนอื่นๆ ว่าเธอเป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง แต่กลับออกแรงอุ้มอีกคนกลับเข้าไปในห้องขังเหมือนเดิมหลังจากเสียงเจ็บปวดของเธอดังขึ้น
วางร่างบางลงปิกนิกไม่ได้อ่อนโยนแต่กลับไม่ได้ปล่อยเธอกระแทกอย่างที่เขาชอบทำ
“อย่าสำออยให้มาก เพราะถ้าเธออู้จะต้องทำงานทดเวลา” ทั้งที่อุ้มอีกฝ่ายเดินมาถึงห้องแต่สุดท้ายปากก็ยังข่มขู่เธอไม่เลิก ผละออกเพื่อจะออกจากห้อง
แต่ฝ่ามือบางกลับจับมือเขาไว้ก่อน มองสบตากับเขาด้วยความเศร้าเสียใจและน้อยใจ
“พี่จะเกลียดพลับก็ได้ แต่อย่าทำร้ายแม่พลับได้ไหม” คำอ้อนวอนในตอนที่เจ็บปวดดังขึ้น
“แล้วถ้าเป็นพี่ชายเธอล่ะ” เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ ย้อนถามกลับไปอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะทุกอย่างอยู่ที่เขาเลือกเอง
“.....” พลับพลึงเม้มปากอย่างลังเล
เธอมีพี่ชายหนึ่งคนอายุห่างกันสี่ปี ตั้งแต่พี่ชายเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นก็ไม่ค่อยกลับมาอยู่บ้านนัก ยิ่งพอครอบครัวมีปัญหา เธอแทบจำหน้าพี่ชายตัวเองไม่ได้แล้ว แทบไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ชายเหมือนพี่น้องหลายๆ บ้าน จำแทบไม่ได้แล้วว่าเราเคยสนิทและดูแลกันเหมือนพี่น้อง ตอนอายุเท่าไหร่
มันเลยยากจะตอบได้ว่าหากเวกัสต้องการทำร้ายพี่ชายเธอแทน เธอจะรู้สึกยังไง
“ไม่ต้องคิดมาก เพราะถ้าฉันจะทำ ต่อให้เธอขอร้องฉันก็ไม่สน” พอเห็นว่าเธอคิดหนักเวกัสก็พูดให้เธอสบายใจ
แต่คำพูดแบบนี้สบายใจได้จริงๆ เหรอ
พูดจบก็พาตัวเองออกจากห้องขังเธอไว้จากข้างนอกเหมือนเดิม
“เฮ้อ!” พลับพลึงระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลายเมื่อประตูห้องกระแทกปิดอย่างแรง ลุกนั่งมองไปยังปานประตูด้วยท่าทางปกติไม่ได้อ่อนแรงเหมือนก่อนหน้า
ตอนโดนกระแทกเธอเจ็บและจุกจริง แต่มันไม่ได้หนักมากขนาดจะหมดแรงและเจ็บปวดขนาดนั้น เธอก็แค่แกล้งหลอกเขา คาดหวังอะไรบางอย่างที่ก็ไม่รู้หรอกว่าปฏิกิริยาของเขาจะเป็นแบบไหน
และมันก็ได้ผลมากกว่าที่เธอคิด เขาอุ้มเธอกลับมาห้องพักทันที วางเธอลงด้วยท่าทางปกติไม่ถึงกับอ่อนโยนแต่ไม่คิดโยนเธออย่างที่ชอบทำบ่อยๆ
เธอใช้โอกาสนี้สานต่อความคิดและสิ่งที่กังวล ร้องขอสิ่งที่ห่วงที่สุดเรื่องแม่ ตอนแรกก็เหมือนจะดี ท่าทีของเขาไม่ได้เกรี้ยวกราด แววตาไม่ได้ดูอาฆาตแค้นอะไร
แต่ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
นั่นสินะ ตอนนี้เขาไม่ได้รักเธอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ที่หนักกว่านั้นคือเขารักคนอื่นไปแล้วด้วย แล้วเธอจะมีสิทธิ์อะไร ไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์หวนนึกถึงอดีตเวลามองหน้าเขาด้วยซ้ำ
“ตอนนั้นพี่รักพลับแค่ไหนพลับรู้ แต่พลับก็ต้องทำให้พี่เกลียด...”
“ทั้งที่พลับรักพี่มากไม่แพ้กัน และไม่เคยอยากเลิกกับพี่เลย”
หลังจากถูกปล่อยไว้ในห้องหลายชั่วโมง ในที่สุดเวกัสก็ปรากฏตัวอีกครั้ง สั่งให้เธอไปชำระร่างกายก่อนจะพาขับรถออกจากอู่อีกหน
รถหรูออกตัวทันทีจนคนพึ่งปิดประตูหัวติดเบาะ รีบดึงเข็มขัดมารัดเพื่อความปลอดภัย แม้จะรู้ว่าเขารักในการขับรถแค่ไหน แม้เขาจะลงสนามแข่งมานับไม่ถ้วนยังไง แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้เสมอ
เหมือนที่เขาเคยเกิดขึ้นนั่นไง
“พี่ขับรถดีๆ ไม่ได้หรือไง” สนามแข่งกับถนนจริงไม่เหมือนกันหรอกนะ เพราะถนนจริงมีสถานการณ์ควบคุมไม่ได้มากมาย
“ทำไม กลัวตายพร้อมฉันเหรอ”
“อืม” ใครบ้างไม่กลัวตาย แต่ที่มากกว่านั้นก็ไม่ได้อยากให้เขาหรือตัวเองตายหรือเจ็บตัวอยู่แล้วไหม
“หึ! ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก จนกว่าจะเห็นเธอตายทั้งเป็นจนสะใจ” น้ำเสียงของเขาดูหวังแบบนั้นจริงๆ ราวกับเฝ้ารอจะทำให้เธอเป็นแบบนั้นแทบทนไม่ไหว
แล้วเธอพูดอะไรได้ เลือกจะเงียบแล้วเบือนหน้าออกมองข้างทาง ดูเส้นทางที่คุ้นเคยมาตลอด
จนมาถึงจุดหมายปลายทางที่เธอเคยมากับเขาบ่อยครั้ง
เอี๊ยด! เสียงล้อลากพื้นอย่างจงใจจนคนไม่ได้ตั้งตัวหัวทิ่มลงไปด้านหน้า ดีที่คาดเข็มขัดและยกมือค้ำกับคอนโซลหน้ารถไว้ได้ทันเลยไม่กระทบกระแทกตรงไหน
ปัง! เสียงประตูรถดังขึ้นโดยที่เธอยังไม่ขยับนั่งดีๆ ด้วยซ้ำ
และก็ตามมาด้วยประตูรถฝั่งเธอถูกกระชากออก อีกฝ่ายก้มลงมาปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากอกเธอ กระชากแขนลงจากรถอย่างไม่ทะนุถนอมกันเลยแม้แต่น้อย ลากเข้าคลับหรูด้านหลังอย่างคุ้นเคย
พรึ่บ! ร่างของเธอถูกผลักสะบัดออกจากมือแกร่งจนเกือบล้ม ก่อนร่างสูงของเวกัสจะทิ้งตัวนั่งลงโซฟาร่วมวงกับเพื่อนสนิทของเขา
“กูเอาพนักงานพาร์ทไทม์มาฝาก ใช้งานได้เต็มที่ แต่อาจจะเข้างานไม่ได้ทุกวันตามความพอใจของกู” เวกัสบอกเพื่อนสนิทตัวเองขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย
“.....” พลับพลึงได้ยินแบบนั้นก็ได้คำตอบแล้วว่างานที่เขาว่าหมายถึงอะไร
คงไม่พ้นทุกอย่างในคลับแห่งนี้ โดยเฉพาะ...
“อยากให้ทำตำแหน่งไหน” ฟาเรนถามขึ้นในฐานะเจ้าของคลับ
“เด็กนั่งดริ้ง แล้วก็จ๊อบนอก”
“มันจะเกินไปแล้วนะ!” เธอคิดไว้แล้วไม่มีผิด คนอย่างเขาไม่มีทางหาอะไรง่ายๆ สบายๆ ให้เธอทำหรอก
“.....” แต่เวกัสกลับหันไปกระตุกยิ้มใส่เธออย่างไม่สนใจ
“แล้วแต่มึงนะ” ฟาเรนพูดขึ้นอย่างไม่ได้ห้ามเพื่อน เพราะเขารับรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดี
“ให้เริ่มงานวันนี้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นฟาเรนก็โทรเรียกพนักงานให้ขึ้นมาพาพลับพลึงลงไปแต่งตัว เธอยื้อตัวอย่างไม่ยอมสักนิด แต่คำพูดของเวกัสทำให้เธอต้องจำใจเดินออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้
“หรือจะให้ฉันใช้งานแม่ของเธอดีล่ะ ดูป่วยขนาดนั้น ถ้าต้องทำความสะอาดทั้งวันทั้งคืน คงเป็นลมเป็นแล้งสิ้นลมพอดี”
“อย่าทำคลับกูเป็นเละนะมึง” เมื่ออยู่กันสองคนฟาเรนพูดกับเพื่อนอย่างไม่ไว้ใจ ส่วนต้นเหตุที่อาจจะเกิดเรื่องในคลับเขาได้ก็ไม่ใช่ใคร นอกจากคนที่มันพามาทำงาน
“กลัวอะไร” เขาก็ตอบไม่ได้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เสียเวลาและเสียแรงเพราะเธอ
“แล้วไอริณเป็นยังไงบ้าง”
“ยังเหมือนเดิม ใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่” นั่นคืออาการของเธอ ยังให้คำตอบไม่ได้เลยว่าจะหายดีเมื่อไหร่ แล้วจะกลับมาเหมือนเดิมได้ตอนไหน
สัญญาณดีเดียวตอนนี้ คืออาการคงที่ไม่ได้แย่เหมือนแรกๆ แล้ว
“สืบอะไรได้บ้างล่ะ”
“หึ!” น้ำเสียงเย้ยหยันพร้อมกับสายตาที่คาดเดาไม่ได้เลยว่ารู้สึกยังไงอยู่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่สืบได้
“มึงจะเอายังไงต่อ แล้วจะทำยังไงกับพลับต่อไป” เมื่อเพื่อนยังไม่พร้อมจะตอบเขาก็ไม่ได้เซ้าซี้ เพราะรู้ดีว่าถึงเวลาเดี๋ยวเวกัสก็เล่าให้พวกเขาฟังเอง เลยหันมาถามถึงอีกคนข้างกายมัน
“ก็ไม่ไง” จะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ทำจนกว่าจะหายโกรธหายแค้นกับสิ่งที่เธอทำไว้
แล้วหลังจากนั้นอีก...
ก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกัน
และหลังจากสองหนุ่มนั่งคุยกันไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของฟาเรนก็ดังขึ้น แต่หลังจากกดรับสายครู่หนึ่ง กลายเป็นเวกัสที่รีบลุกนำเจ้าของคลับลงไปด้านล่าง
ร่างสูงในเสื้อเชิ๊ตผ้าเงาสีดำปลดกระดุมหลายเม็ดจนเห็นรอยสักบนบนร่างกาย พับแขนเสื้อสองข้างด้วยความผ่อนคลายอวดรอยสักที่แขนซ้ายลากยาวจนเข้าไปในเนื้อผ้า ก้าวยาวๆ ภายใต้กางเกงยีนเข้ารูปสีดำ ตรงมายังห้องแต่งตัวของพนักงานสาวในคลับ
ประตูห้องถูกเปิดออกเผชิญกับเสียงดังห้วนของพนักงานที่ดูแลความเรียบร้อยกำลังหงุดหงิดใส่พลับพลึง
ฟาเรนเห็นสภาพห้องเส้นเลือดที่ขมับตึงเปรียะ ก็พอจำได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าที่เหมือนจะว่าง่าย แต่เห็นแบบนี้ดื้อเงียบดื้อตาใสสุดๆ
สุดท้ายก็พยักหน้าให้พนักงานออกไป แล้วหันไปพูดกับเพื่อนสนิท
“จัดการเอง” พูดจบฟาเรนก็เดินออกไปให้เพื่อนจัดการคนของตัวเอง เขามีลางสังหรณ์ว่าหลังจากนี้เวกัสจะต้องเสียเงินให้คลับเขาบ่อยๆ ยังไงก็ไม่รู้
แต่ในเมื่อมันเลือกเองก็ต้องปล่อยไป
และตอนนี้ภายในห้องก็เหลือเพียงเวกัสกับพลับพลึงเพียงสองคน
