ตอนที่ 2 ความจริงที่เจ็บปวด
เสียงหัวเราะดังแว่วจากโต๊ะอาหาร มารดาของธาวินทร์จัดโต๊ะอาหารมื้อวันอาทิตย์อย่างอบอุ่น เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารไทยที่แม่ครัวทำด้วยความตั้งใจ
“แม่ชอบให้พวกหนูมาทานข้าวที่บ้านบ่อยๆ นะ ดารัญ แม่จะได้ไม่เหงา คนหนึ่งแต่งงานออกไปอยู่ข้างนอก อีกคนไปเรียนต่อต่างประเทศ แม่อยู่บ้านคนเดียวเหงาจะแย่”
“ค่ะคุณแม่ หนูเองก็อยากมาบ่อยๆ ค่ะ” เธอยิ้มหวาน พูดด้วยความสุภาพ และแววตานอบน้อมอย่างที่ถูกสอนมาเสมอ
“ลูกน่ะ ไม่รู้จะแยกบ้านออกไปทำไม อยู่บ้านเราก็ดีอยู่แล้ว”
“ผมไม่ชอบความวุ่นวาย แม่ก็รู้” ธาวินทร์นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ เขานิ่งขรึมเช่นเคย พูดน้อย และใช้เวลากับอาหารตรงหน้า มากกว่าความสนใจในบทสนทนา
“แกนี่นะ จะหาว่าฉันวุ่นวายกับชีวิตแกเหรอ” กัลยาพูดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าเขาไม่อยากแต่งงาน แต่เป็นเธอเองที่บังคับเขาและขู่ว่าจะตัดขาดจึงยอมแต่งงานแต่โดยดี
จากนั้นทั้งโต๊ะก็เงียบไปครู่หนึ่ง ดารัญตักอาหารเอาใจแม่สามี ทำให้กัลยายิ้มออกมาได้
“ว่าแต่เมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานล่ะลูก” กัลยาเอ่ยถามลูกสะใภ้ขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ดวงตาเป็นประกายทันทีที่ประโยคหลุดจากปาก
ดารัญชะงักเล็กน้อย มือที่กำลังวางช้อนหยุดค้างกลางอากาศ เธอหันไปมองสามีเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับมายิ้มอ่อนตามเดิม แล้วตอบแม่สามีไปด้วยความสุภาพ
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกค่ะคุณแม่ หนูกับคุณวินยังไม่พร้อม”
“อ้าว เหรอลูก แม่ก็นึกว่าแต่งกันตั้งสามปีแล้ว หนูเองก็รักเด็กไม่ใช่เหรอ”
คำว่าสามปีนั้นสะท้อนกลับมาในหัวเธอซ้ำๆ ทว่าดารัญยังคงยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอจะมีลูกได้อย่างไร ในเมื่อทุกครั้งที่เขาเข้าหาเธอเขาก็สวมถุงยางป้องกันทุกครั้งราวกับว่าเธอเป็นตัวเชื้อโรค และหากว่าไม่ถึงที่สุดเขาก็แทบไม่แตะต้องเธอด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าเขากลัวว่าร่างกายเธอจะสร้างสายใยบางๆ ที่เชื่อมเธอกับเขาไว้มากเกินไป
กลัวว่าเธอจะผูกพันกับเขาได้แน่นกว่าสิริพิชญ์ผู้หญิงที่อยู่ในใจเขามาตลอด
ดารัญฝืนยิ้ม ยกน้ำขึ้นจิบเพื่อกลืนก้อนแข็งในลำคอ
“เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่ หนูจะบอกคุณแม่นะคะ”
คุณหญิงหัวเราะเบาๆ แล้วลูบแขนเธออย่างเอ็นดู “งั้นแม่รอนะลูก แม่อยากได้หลานผู้หญิง หน้าตาน่ารักเหมือนหนูเนี่ยล่ะ”
ธาวินทร์ไม่พูดอะไรสักคำ เขายังคงตักข้าวเข้าปากเงียบๆ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น
แต่สำหรับดารัญ คำถามที่แสนจะอบอุ่นนั้น กลับกลายเป็นหนามแหลมที่ตำลึกลงในหัวใจ
เมื่อกลับมาถึงบ้านที่เป็นเรือนหอที่พวกเขาแยกตัวออกมาอยู่ ดารัญถอดรองเท้าอย่างแผ่วเบา และเงยหน้ามองแผ่นหลังของธาวินทร์ที่เดินนำเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาไม่พูดอะไรสักคำเหมือนทุกครั้งหลังกลับจากบ้านหลังใหญ่
เธอเดินตามเข้าไปช้าๆ มือกำชายกระโปรงแน่นเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจลึกจากเขา
“คุณวิน” เสียงเธอเบา แผ่วเหมือนกลัวจะรบกวนความคิดของเขา
เขาหันมามองเธอเล็กน้อย สายตานิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์
“วันนี้คุณแม่ถามเรื่องลูก...” เธอหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ฉันอยากรู้ว่าคุณวินคิดเรื่องนั้นบ้างไหม”
ธาวินทร์ชะงักเล็กน้อย แต่สีหน้าก็กลับเป็นเรียบเฉยดังเดิม เขายกมือลูบหน้าผากตัวเองราวกับกำลังปวดหัว
“ยังไม่ถึงเวลาหรอกดารัญ ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม” คำพูดนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอไม่เคยได้ยิน แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน ใจก็ยังเจ็บเหมือนเดิม
“แต่มันก็สามปีแล้วนะคะ” น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ทั้งที่พยายามควบคุมมัน ธาวินทร์หันขวับมาทางเธอ แววตาเริ่มขุ่นเล็กน้อย
“ผมบอกแล้วไงว่ายังไม่พร้อมอย่าถามเรื่องนี้อีกได้ไหม ผมมีเรื่องงานให้คิดมากพอแล้ว” น้ำเสียงนั้นไม่ใช่ตะคอก แต่ก็หนักแน่นและเฉียบขาดพอที่จะทำให้เธอหน้าชา
ดารัญยืนนิ่งไปชั่วครู่ หัวใจเธอแน่นราวกับถูกบีบ
คำพูดที่อยากจะถามต่อถูกกลืนหายไปกับลมหายใจ
“ค่ะ... ขอโทษนะคะ” เธอกล่าวเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลง หันหลังเดินออกจากห้องช้าๆ
แม้เขาจะไม่ได้ตะคอก แม้จะไม่ได้ต่อว่า แต่สำหรับเธอมันก็เพียงพอแล้วที่จะรู้ว่า ในความสัมพันธ์นี้ ไม่มีพื้นที่สำหรับความหวังของเธออีกต่อไป
************************
เสียงเพลงคลอเบาๆ ในร้านอาหารกึ่งบาร์ริมแม่น้ำ เพื่อนกลุ่มเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั่งล้อมโต๊ะกันอย่างครื้นเครง รอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุย
ดารัญนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะ ยิ้มบางๆ พลางจิบเครื่องดื่มอ่อนๆ ในแก้ว มือบางขยับจับข้อมืออีกข้างเงียบๆ คล้ายต้องการปลอบตัวเองโดยไม่ให้ใครสังเกต
เพื่อนๆ พูดแซวกันอย่างสนุกสนาน ดารัญได้แต่ยิ้มและหัวเราะบางๆ
กิ่งแก้วเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ เดินเข้ามาแตะไหล่เบาๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
“เป็นอะไรไป ไม่ยิ้มเลย” กิ่งแก้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ปราศจากการเสแสร้ง
ดารัญพยักหน้า ยิ้มบางตามสไตล์ “ก็เรื่องเดิมแหละ”
เพื่อนทั้งสามเงียบแล้วหันมาสนใจเธอ พวกเธอรู้มาตั้งแต่วันแต่งงานว่าคู่แต่งของดารัญ ไม่ใช่คนที่เธอรัก และที่แย่กว่านั้นคือเขามีคนรักอยู่แล้ว
“เธอไม่เหนื่อยเหรอ” ชรัญรัตน์เพื่อนอีกคนเอ่ยขึ้นเบาๆ
ดารัญเงียบไป ชั่วขณะก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “มันก็แค่ชีวิตแต่งงานแบบหนึ่ง”
กิ่งแก้วก็วางแก้วไวน์ลงเสียงเบา เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาชัดเจน
“แต่พวกเธอแต่งกันมาตั้งสามปีแล้ว เธอก็ยังไม่เคยมีความสุขเวลาพูดถึงเขา แม้แต่ตอนนี้เธอกับเขาก็ยังไม่จดทะเบียนเลยนะรัญ”
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางโต๊ะ แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่ทุกคนก็รับรู้ได้ถึงความเปราะบางในแววตาของดารัญที่เปลี่ยนไปเพียงเสี้ยววินาที
“เธอจะให้ฉันพูดตรงๆ ไหม” กิ่งแก้วถาม ดวงตาสบตาเพื่อนรักอย่างอ่อนโยนแต่จริงใจ
ดารัญพยักหน้าเบาๆ แม้รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะได้ยินจะต้องเจ็บแน่ๆ
“เขาไม่ได้จดทะเบียนกับเธอ เพราะเขายังรอคนของเขาอยู่”
หัวใจของดารัญเหมือนถูกเหยียบซ้ำ เธอเบือนหน้าหนีไปทางแม่น้ำด้านนอก หน่วยตาเริ่มร้อนผ่าว แต่เธอฝืนยิ้ม กิ่งแก้ววางมือลงบนหลังมือเธอเบาๆ แล้วพูดต่อ
“รัญ ฉันรู้ว่าเธอรักเขา เธอพยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่เธอต้องยอมรับความจริงนะ มีเหตุผลอะไรที่ผู้ชายคนหนึ่งจะไม่จดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงที่เขาอยู่ด้วยมาสามปี”
ดารัญหลบตา ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากเธอเลย
ในใจเธอรู้คำตอบนั้นดีตั้งแต่ปีแรก แต่เธอแค่ไม่อยากยอมรับมัน
“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้อยากทำร้ายเธอ...” กิ่งแก้วเอ่ยเสียงเบาเมื่อเห็นน้ำตาคลอในดวงตาเพื่อนรัก
ดารัญยิ้ม พลางส่ายหน้า “ไม่เป็นไรแก... ขอบใจที่พูดความจริงกับฉัน ดีกว่าฉันหลอกตัวเองต่อไปอีก”
เธอหยิบแก้วขึ้นมา จิบของหวานที่ไม่อาจกลบความขมในใจได้
คืนวันเกิดของเพื่อนรัก ควรเป็นคืนที่อบอวลด้วยความสุข แต่สำหรับเธอมันกลับกลายเป็นคืนที่ความจริงค่อยๆ ร้าวลึกลงในหัวใจ
************************