ตอนที่ 1 วันครบรอบ
กลิ่นหอมของขนมปังอบใหม่ลอยคลุ้งไปทั่วห้องอาหารในยามเช้า ดารัญจัดอาหารจานสุดท้ายลงบนโต๊ะอย่างประณีต ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนแล้วหันไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงหัวโต๊ะ
“วันนี้ฉันเข้าครัวเองนะคะ” น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล เรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความหมายที่เขาอาจไม่มีวันเข้าใจ
ธาวินทร์เงยหน้าขึ้นจากตัวอักษรตรงหน้า ใบหน้าคมคายยังคงเคร่งขรึมเหมือนทุกครั้งที่เธอคุ้นชิน ริมฝีปากกระตุกยิ้มบางๆ แบบที่เขามักมอบให้เธอในฐานะคนรู้จักที่ใช้หลังคาบ้านเดียวกัน
“อืม ขอบคุณนะ” คำพูดที่เรียบเฉย แต่ไม่หยาบคาย เขาเป็นแบบนี้เสมอ ให้เกียรติเธอ รักษามารยาททุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะไม่เคยให้หัวใจ
ดารัญยิ้มตอบ พลางทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม พยายามซ่อนความสั่นไหวที่แทรกซึมอยู่ในใจ
“วันนี้พิเศษหน่อย ตอนเย็นจะให้ฉันทำอาหารหรือว่าเราจะออกไปกินที่ร้านอาหารดีคะ” เธอถามขึ้นเบาๆ ระหว่างที่เขากำลังใช้มีดหั่นเบคอนเพื่อที่จะกินกับครัวซองต์ที่เธอเพิ่งอบใหม่
“วันนี้วันอะไร” เขาถามโดยไม่เงยหน้า
“วันครบรอบแต่งงานสามปีของเราค่ะ”
คราวนี้มือของธาวินทร์หยุดลงชั่วครู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“สามปีแล้วเหรอ... ขอโทษนะ ฉันลืมไปเลย” น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีแววผิดเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงคำพูดที่เปล่าเปลี่ยวเกินกว่าจะยึดติด
ดารัญพยักหน้า ชินเสียจนไม่มีน้ำตาให้ไหล
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันแค่คิดว่าวันนี้จะทำอะไรพิเศษบ้าง เผื่อคุณจะชอบ”
เขาไม่ตอบกลับทันที หันไปหยิบถ้วยกาแฟขึ้นจิบเงียบๆ ก่อนจะวางมันลงอย่างสุขุม
“ขอบคุณนะดารัญ เธอเป็นภรรยาที่ดีมาก”
เพียงเท่านั้น เธอก็รู้แล้วว่าที่เขาพูด มันคือขีดจำกัดของความสัมพันธ์นี้ เขารับเธอไว้ในชีวิต เพราะคำว่า ‘ภรรยา’ ไม่ใช่ ‘คนที่เขารัก’
ดารัญหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง ใช่สิ... เธอเป็น ‘ภรรยาที่ดี’ ของเขา แต่ไม่เคยเป็น ‘ผู้หญิงของหัวใจ’ เลยสักครั้ง
“วันนี้ฉันจะออกไปข้างนอกช่วงบ่ายนะคะ มีนัดกับเพื่อน”
“อืม ดูแลตัวเองด้วย” เขาตอบโดยไม่ซักถามรายละเอียดใดๆ ราวกับจะบอกว่า เธอไปไหนก็ได้ ตราบใดที่ยังกลับมาในบ้านหลังนี้ตามหน้าที่
เธอมองเขาเงียบๆ จดจำใบหน้าเรียบนิ่งนั้นให้ชัดในหัวใจ สามปีที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาหันมอง แต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่เขามองเห็นก็ยังเป็นผู้หญิงอีกคน
สิริพิชญ์ ผู้หญิงที่เป็นรักแรกของเขา ดาราสาวสวยที่หันหลังให้วงการเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ
หลังจากที่สามีออกไป แม่บ้านที่จ้างให้มาช่วยดูแลทำความสะอาดบ้านก็มาถึง ดารัญจึงให้เธอช่วยเก็บโต๊ะอาหารเช้าให้แล้วขึ้นไปยังห้องนอน
เสียงนาฬิกาติดผนังเดินอย่างเชื่องช้า ราวกับจะย้ำให้เธอรู้ว่าทุกวินาทีของชีวิตแต่งงานกำลังผ่านไปโดยไร้ความหมาย
หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่างในห้องนอน มองออกไปยังสวนหน้าบ้านที่เธอลงมือปลูกต้นไม้ที่เขาชอบด้วยตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่เคยมองมันเลย ไม่เคยออกมายืนชื่นชม ไม่แม้แต่จะกล่าวชมว่าสวย
เหมือนเช่นเดียวกับเธอ ที่เขาไม่เคยเป็นที่สังเกตของเขาเลยสักครั้ง
ดารัญถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง ภาพความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามา
สามปีแล้ว เธอแต่งงานกับธาวินทร์เพราะการขอร้องของมารศรีมารดาของเขา และพ่อแม่ของเธอที่เป็นเพื่อนร่วมเรียนด้วยกัน
สามปีที่เธอใช้หัวใจทั้งดวงพยายามไต่ขึ้นไปให้ถึงหัวใจของเขา แต่ว่าก็ไม่เคยถูกยอมรับเสียที
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยจูบเธอเลยสักครั้ง ไม่เคยหอมแก้มเธอ ไม่เคยกระซิบคำหวาน ไม่เคยใช้สายตาอ่อนโยนมองเธอเหมือนชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักภรรยาของตัวเอง
แม้แต่ในคืนเข้าหอที่ควรจะเป็นค่ำคืนของความรัก เขาก็เพียงซุกหน้าลงที่ซอกคอของเธอ กระทำทุกอย่างเหมือนกับว่ามันเป็นเพียงหน้าที่ ใช้สิทธิ์ของสามีกับร่างกายเธอ ไม่มีสัมผัสที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาปรารถนาเธอในฐานะผู้หญิงที่เขาจะมอบใจให้
แม้กระทั่งอ้อมกอด เธอก็ไม่เคยได้รับจากเขา นอกจากตอนที่เขาหลับนอนกับเธอเท่านั้นที่พวกเขาจะได้สัมผัสตัวกัน นั่นเพราะในใจของเขามีคนอื่นอยู่ และเธอก็รู้ดี
ทุกอย่างมันเป็นเพียงหน้าที่ หน้าที่ของสามีที่ถูกมารดาบอกให้ทำ เช่นเดียวกับคำพูดที่ฝังอยู่ในหัวเธอมาตลอด
“แต่งๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง” แต่เดี๋ยวที่ว่านั้นล่ะ มันอยู่ตรงไหนในสามปีนี้
เธอรอ... รอให้เขาหันกลับมา รอให้มือของเขายื่นมาหาเธอด้วยความรู้สึกที่มาจากหัวใจ รอให้เขามองเธอโดยไม่ผ่านเงาของใครอีกคน
แต่เปล่าเลย... หัวใจของเขากลับยังคงล่องลอยไปอยู่กับสิริพิชญ์ ผู้หญิงที่เขารัก ผู้หญิงที่ไม่ต้องพยายามเลยแม้แต่น้อย ก็ได้ครอบครองความรักจากเขาเต็มดวง
ดารัญยกมือแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของตัวเอง ริมฝีปากที่เขาไม่เคยแตะต้องแม้แต่ครั้งเดียว
บางทีมันคงถึงเวลาจริงๆ แล้ว ที่เธอควรหยุดวิ่งตามหัวใจของเขา เพราะเมื่อคนเราทุ่มเททุกอย่าง แต่กลับไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวของความรู้สึกตอบกลับมา
เย็นวันนั้น แสงเทียนบนโต๊ะอาหารยังคงสั่นไหวตามแรงลมจากเครื่องปรับอากาศ เสียงเข็มนาฬิกาบนผนังดังกรีดลึกลงกลางอกของดารัญอย่างไร้ปรานี
นาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว อาหารที่เธอเตรียมไว้ค่อยๆ เย็นชืดลงทีละนิด เทียนแท่งที่จุดไว้บนโต๊ะมื้อค่ำใกล้จะมอดดับ แต่คนที่ควรมานั่งตรงข้ามกลับยังไม่มา
เธอรอด้วยหัวใจที่ยังคงหวัง หวังว่าอย่างน้อยในค่ำคืนนี้ เขาอาจจะนึกถึงกันบ้าง หวังว่าเขาอาจจะรีบกลับบ้านเพื่อมาใช้เวลาในวันสำคัญแค่ปีละครั้ง
แต่แล้วเวลาที่ผ่านไปก็ย้ำเตือนเธอว่า ความหวังนั้นช่างเปราะบางเหลือเกิน
มือบางเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างลังเล ใจกระตุกวูบก่อนจะตัดสินใจกดโทรออก เสียงรอสายดังเพียงไม่กี่วินาที ก่อนที่ปลายสายจะรับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“ฮัลโหล”
เธอกัดริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นเสียงสั่นในใจ
“คุณวินอยู่ที่ไหนคะ” น้ำเสียงของเธอเบา แผ่ว และเต็มไปด้วยความห่วงใย ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยถ้อยคำที่ทำให้ใจเธอชา
“ผมยังอยู่ที่บริษัท พอดีมีงานด่วน ขอโทษนะ ผมลืมไปว่าวันนี้มีนัด” ประโยคนั้นไม่ต่างอะไรกับคมมีดที่กรีดลงกลางหัวใจเธออย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ... ฉันแค่เป็นห่วง เห็นว่าคุณยังไม่กลับเสียที”
“อืม ขอบคุณนะ เดี๋ยวผมคงกลับดึก เธอไม่ต้องรอหรอก” สิ้นเสียงของเขา สายก็ตัดไป เหลือเพียงความเงียบที่แทรกเข้ามาแทนทุกสิ่ง
ดารัญมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับสนิท ใบหน้าของเธอไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาเลย แต่แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยร้าวที่ยากจะเยียวยา
เธอยังนั่งอยู่ที่เดิม โต๊ะอาหารสำหรับสองคนยังคงตั้งอยู่ตรงหน้า มีเพียงความว่างเปล่าที่กลืนกินเธอไปทีละน้อย อย่างเงียบงัน
************************