บทที่๒...ซื้อของเล่น (๓)
กลิ่นหอมของเขาที่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องโดยสาร ทำให้หญิงสาวหัวใจเต้นรัวมากกว่าเดิมจนไม่กล้าจะหายใจด้วยซ้ำ
“คะ...ค่ะ เอ่อ หายใจอยู่นะคะ” สูดลมหายใจเข้าปิดลึกเป็นหลักฐานแล้วค่อยผ่อนออกมา เขาเห็นอย่างนั้นก็นึกขำมากกว่าเดิม ไม่คิดว่าหล่อนจะเป็นคนตลกมากขนาดนี้ จึงพยายามหน้าตามน้ำไปก่อน แล้วค่อยชวนเธอคุยเพื่อคลายความตึงเครียด
“เหรอ เห็นนั่งตัวแข็งทื่อ ฉันน่ากลัวมากหรือไง น่ากลัวกว่าไอ้กิตติ์หรือเปล่า” เมื่อก่อนไม่เห็นว่าหล่อนจะกลัวเขาเหมือนตอนนี้เลย ทั้งยังเรียกว่าพี่อีกต่างหาก คิดแล้วก็หวนนึกถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ของตัวเอง
ปากหยักยกยิ้มตลอดเวลา นิ้วเคาะพวงมาลัยระหว่างที่จอดติดไฟแดง หยอกเย้าหล่อนแต่หน้าอาจจะนิ่งเกินไปทำให้หญิงสาวเข้าใจว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี จึงรีบตอบด้วยความจริงใจ กลับทำให้เขายิ้มกว้างออกมา
“เปล่าค่ะ คุณทัพพ์ไม่น่ากลัว คุณทัพพ์...ใจดี” คำว่าใจดีน่าจะไม่ค่อยเข้ากับเขาสักเท่าไหร่ ทั้งยังแปลกใจในทัศนคติที่เธอมีต่อตน
“หึ เพิ่งมีเธอคนแรกที่ชมว่าฉันใจดี รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าได้พูดอะไรออกไปถึงกับเม้มปากแน่นไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก เธอนั่งนับรถยนต์อีกครั้งเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลงบ้าง พลางบอกเส้นทางไปยังคอนโดมิเนียม
“คุณทัพพ์จะไปไหนเหรอคะ” ใกล้ถึงที่พักก็สบโอกาสหันไปชวนคุย เบื่อจะนับรถและมองถนนแล้ว ความจริงก็อยากต่อบทสนทนากับอีกฝ่าย ถึงคนข้างกายจะทำหน้านิ่งไม่มีอารมณ์ร่วมกับสิ่งใด แต่กลับไม่ได้สร้างบรรยากาศลบ
หรือเป็นเพราะว่าเธอรักเขา จึงมองชายหนุ่มในแง่ดีไปเสียหมด
“เพื่อนนัดกินเลี้ยงเลยว่าจะออกไปหาเพื่อน” กลับมาไทยก็ไม่ค่อยได้ออกไปหาเพื่อน วันจัดงานต้อนรับก็เป็นทางการ คราวนี้เพื่อนกลุ่มที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมเป็นฝ่ายออกปากขอจัดเลี้ยงต้อนรับแบบส่วนตัว เขาจึงไม่อาจปฏิเสธได้
“ถ้าเมา...อย่าขับนะคะ” เธอได้ยินอย่างนั้นก็นึกกังวลเรื่องแอลกอฮอล์ ก้มมองหน้าตักของตัวเองพลางลูบกางเกงไปมา ก่อนตัดสินใจเอ่ยด้วยความเป็นห่วง จนเขาแอบยิ้มขำที่ให้คนเด็กกว่ามาเอ่ยเตือน
“ไม่เมาหรอก ฉันไม่ค่อยชอบดื่มเท่าไหร่ อีกอย่างถ้าเมาก็คงให้คนรถมารับ ถึงกฎหมายบ้านเราจะอ่อนกับพวกเมาแล้วขับแต่เราก็ควรรับผิดชอบต่อสังคม ฉันรู้...” เธอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับ เบนศีรษะมองคนข้างกายคิดว่าเขาจะมองถนน แต่อีกฝ่ายกลับจ้องตนกลับจนหญิงสาวต้องนั่งหันหน้าตรงอีกครั้ง
ยังไม่ชินกับการได้สบตาทัพพ์โดยตรง คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
แต่พวกเราก็คงไม่มีเหตุใดให้ต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว เธอคิดอย่างนั้นก็แอบยิ้มเศร้าพอดีกับรถคันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกสูง
“จอดด้านหน้านี้ก็ได้ค่ะ” ชี้ให้เขาจอดลงตรงหน้า เมื่อรถหยุดนิ่งก็ปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก ไม่ลืมหันมาบอกคนข้างกายพร้อมค้อมศีรษะลงเล็กน้อย แม้ไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปแต่เธอก็จำต้องบอกลากับเขา
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” รอยยิ้มของเธอที่มอบให้ทำเอาคนมองตะลึงค้าง จ้องอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ค่อยตอบรับคำขอบคุณเสียงเบา
“อือ” เธอเดินเข้าไปในอาคารแล้วแต่เขายังไม่เคลื่อนรถไปไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงแตรบีบไล่หลัง จึงรีบขับออกจากหน้าคอนโดมิเนียมเพื่อไปยังสถานที่นัดหมาย ส่ายหน้ากับอาการเหม่อลอยของตัวเอง
ตอนเช้าที่ทุกคนต่างเร่งรีบแต่เธออยู่ใกล้ที่ทำงานจึงสามารถเอ้อระเหยได้ อีกทั้งก็เตรียมตัวเสร็จนานแล้วมีเพียงนั่งรับประทานอาหารด้วยการกินซาลาเปาสองลูกกับนมถั่วเหลืองของโปรด นั่งฟังข่าวเช้ารับรู้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกในแต่ละวัน
วิถีชีวิตของเธอแสนน่าเบื่อจำเจแต่ก็ชินไปแล้ว เธอไม่ต้องการให้สิ่งใดเปลี่ยนไปเพราะไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงที่ต้องเริ่มต้นใหม่ เป็นแบบนี้ดีอยู่แล้ว ได้ใช้ชีวิตอิสระในแบบของตัวเอง
แต่กลับมีเสียงกริ่งหน้าห้องดังขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีของตน เธอถอนหายใจเหนื่อยหน่ายเพราะรู้ดีว่าใครมา มีเพียงคนเดียวที่สามารถขึ้นมาถึงหน้าห้องของหล่อนได้โดยไม่ต้องโทรมาเรียกให้พาขึ้นลิฟต์ คงติดสินบนพนักงานหรือแม่บ้านเหมือนเดิมนั่นแหละ คิดอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วก้าวมาเปิดประตูใบหน้าบอกบุญไม่รับ
“แม่...มาทำไมแต่เช้า” พูดจบก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร หยิบซาลาเปาไส้หมูสับมากินไปพลาง เห็นสีหน้าของแม่ก็รู้ทันทีว่าคงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แววตาของท่านเป็นประกายเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นจนเธอชะงัก
ทำไมแม่ถึงรู้...
“ได้ข่าวว่าคราวก่อนคุณทัพพ์มาส่งแกถึงหน้าคอนโดเหรอ เขาคิดอะไรกับแกหรือเปล่า แอบชอบแกใช่ไหม” การสันนิษฐานของท่านทำให้เธอเหนื่อยหน่าย ความคิดเห็นที่ไม่เข้าใกล้ความเป็นจริงสักนิด คนระดับนั้นจะมาชอบหล่อนได้อย่างไร ถ้าบอกว่าเห็นเธอเป็นแค่ของเล่นยังจะน่าเชื่อถือมากกว่า
คนอายุมากกว่ารีบเลื่อนเก้าอี้นั่งลงเยื้องกับลูกสาว มุมปากยกยิ้มมีความสุขเพียงแค่คิดว่าจะได้อีกฝ่ายเป็นลูกเขย ลืมความจริงที่ว่าทัพพ์ประกาศจะแต่งงานไปเสียสนิท
“เฮ้อ มันจะเป็นไปได้ยังไง คอนโดหนูเป็นทางผ่านเขาก็เลยมาส่งแค่นั้น ไม่มี...” พยายามโน้มน้าวให้ท่านเชื่อแต่เหมือนมารดาจะปักธงเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะสั่นคลอนสักนิด กลับพินิจใบหน้างดงามของบุตรสาว หากจับแต่งตัวอีกหน่อยคงเป็นดาราได้สบาย
ติดเพียงอย่างเดียวที่ชอบสวมเสื้อตัวใหญ่กับใบหน้าเปลือยเปล่ามีเพียงครีมกันแดดที่เคลือบใบหน้ากับลิปมันไม่ให้ปากแห้งแตก เห็นแล้วก็นึกเสียดายของ ถ้าแต่งหน้าแต่งตัวให้ดีกว่านี้คงมีผู้ชายเรียวแถวเข้ามาจีบ
นางก็จะได้เลือกลูกเขยที่ร่ำรวยสามารถขอเงินได้ตลอดเวลา...
“ไม่จริง เขาเป็นคนถือตัวจะตาย แค่ทางผ่านเลยให้ติดรถทั้งยังมาส่งถึงคอนโดเป็นไปไม่ได้หรอก” ตอนแรกคิดว่าไม่มีหวังแต่เมื่อได้ยินเรื่องที่ทัพพ์มาส่งลูกสาวของนางถึงหน้าคอนโดมิเนียมก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันที
“แล้วแม่รู้ได้ยังไง” ถามสิ่งที่สงสัย
“ก็...ฉันรู้แล้วกัน แกล่ะ ชอบเขาหรือเปล่า” เกือบเผลอหลุดปากบอกไปว่าติดสินบนแม่บ้านที่นี่เอาไว้ให้คอยรายงานว่ามีผู้ชายมาหาลูกของตนหรือเปล่า กลัวว่าบอกไปแล้วตนจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเพียงออจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
