บทที่๒...ซื้อของเล่น (๒)
“ค่ะ เพียงอยู่คอนโดมันใกล้บริษัท” เหมือนว่าเธอจะไม่ได้ตอบเหตุผลทั้งหมดแต่เขาก็เข้าใจเป็นอย่างดี เราถือเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน หากให้พรั่งพรูทุกอย่างก็ดูจะแปลกไปหน่อย จึงทำเพียงมองใบหน้าหวานอยู่อย่างนั้นแล้วตอบรับเสียงเบา
ลืมหญิงสาวไปเสียสนิท แต่เมื่อได้กลับบ้านความทรงจำทุกอย่างก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เด็กคนนั้นที่คอยมาขอขนมเขากินและใช้บ้านตนเป็นหลุมหลบภัย กลับเติบใหญ่ขึ้นมากจนจำแทบไม่ได้
“อือ” การรับในลำคอและความเงียบของเราทำให้เธอไม่รู้ว่าควรตอบหรือต่อบทสนทนาอย่างไร
อยากทราบเรื่องของเขาแต่เพราะเราไม่ได้สนิทกัน และคิดว่าหากยิ่งถามก็จะยิ่งอยากรู้เป็นการสานสัมพันธ์มากกว่าเดิมทั้งที่คนตรงหน้ากำลังจะแต่งงาน จึงควรรู้ขอบเขตของตัวเองให้มากกว่านี้ว่าเราเป็นเพียงเพื่อนบ้านกันเท่านั้น
เธอไม่ควร...จะเข้าไปใกล้เขามากกว่านี้
คนที่เจ็บก็มีแค่ตนเอง
“เพียง เพียง ยัยเพียง!” เหมือนสวรรค์จะเห็นถึงความลำบากใจ จึงได้ส่งคนมาช่วยคือมารดาที่ร้องเรียกบุตรสาวเสียงดังลั่นบ้าน หล่อนได้โอกาสจึงรีบขอตัวออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว รู้สึกหายใจได้ไม่เต็มปอดด้วยซ้ำยามอยู่ต่อหน้าเขา
ใบหน้าร้อนวูบวาบตลอดเวลา ยิ่งยามถูกสายตาเรียวยาวจ้องมาก็เหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดจะหายไปเดี๋ยวนั้น
“เพียงขอตัวก่อนนะคะแม่เรียกแล้ว” เห็นอาการร้อนรนของเธอก็ไม่อาจรั้งให้อยู่ต่อได้ จึงพยักหน้าแล้วมองตามแผ่นหลังบางที่ผลุบหายเข้าไปในรูขนาดเล็กที่เชื่อมสองบ้านเอาไว้ เห็นแล้วก็นึกขำกับการกระทำของหล่อน
“อือ”
โตเป็นสาวแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กอีกต่างหาก หลุดยิ้มเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาที่ประเทศไทย
เขาเจอเรื่องชวนปวดหัวไม่ว่าจะงานหรือความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่น่าประหลาดที่การเจอหล่อนครั้งนี้กลับทำให้ความเครียดเบาบางลง เหมือนไหล่ที่ตึงถูกนวดจนคลายความเมื่อยล้า
ความรู้สึกที่น่าแปลกใจทำให้เขาอยากคิดหาคำตอบ แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะสรุปความคิดทั้งหมดของตัวเองได้ อย่างไรก็คงไม่ได้เจอกันบ่อยหรอก
สุดท้ายก็เป็นแค่คนแปลกหน้า...
คนเป็นแม่ที่เดินตามหาลูกทั่วบริเวณบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นเพียงออมุดออกมาจากรูขนาดเล็กของสุนัขบ้านข้างเคียง เห็นอย่างนั้นท่านก็ส่ายหน้าด้วยความระอา ไม่คิดว่าลูกโตป่านนี้แล้วยังจะเล่นเป็นเด็กอยู่อีก
“ไปเล่นกับหมาบ้านนั้นอีกแล้วเหรอ โตแล้วทำตัวเป็นเด็ก...ไปส่งฉันที่บ้านคุณจิตราหน่อย” ถอนหายใจเสียงดังใส่หน้าหล่อน แล้วรีบเดินนำหน้าเพราะต้องออกไปข้างนอก มีรถว่างแต่ไร้คนขับแล้วตนก็ขับไม่เก่งเสียด้วยจึงต้องพึ่งพาบุตรสาว
“อีกแล้วเหรอ คราวก่อนแม่เสีย...” เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ทราบทันทีว่าท่านจะไปทำกิจกรรมอะไร เธอยืนนิ่งไม่ยอมขยับแล้วคิดจะบ่นให้ท่านฟัง
คุณปาริฉัตรเบื่อกับการอยู่บ้านลำพังเพราะสามีออกไปทำงานข้างนอก บุตรสาวก็อาศัยอยู่คอนโดมิเนียม บ้านหลังใหญ่มีเพียงคนอยู่คนเดียวจึงได้ออกไปพูดคุยสังสรรค์จนพบความสุขใหม่คือการเล่นพนันที่ต้องใช้ดวงเป็นตัวช่วย
บางวันก็ได้เป็นกอบเป็นกำ บางวันเสียจนแทบหมดตัวก็มี แต่เพราะมันสนุกและกระตุ้นความต้องการได้เป็นอย่างดี จึงไม่เคยเลิกเล่นได้เลยสักครั้ง ทั้งยังกลายเป็นเสพติดอีกต่างหาก โน้มน้าวกี่ครั้งก็ไม่เคยฟังหล่อนสักที
เกินจะเยียวยาแล้ว ทำได้เพียงตามน้ำอย่างเดียว “หยุดๆๆ อย่าพูดอะไรอัปมงคลเด็ดขาด วันนี้ฉันจะถอนทุนคืน แกมีหน้าที่ไปส่งอย่างเดียวอย่ามาพูดเยอะแยะนักได้ไหม” ชี้หน้าลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างอารมณ์เสียแล้วเดินไปขึ้นรถยนต์ที่จอดว่าง
เธอเห็นอย่างนั้นก็รีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวจะกลับที่พักของตน หากเอารถกลับมาส่งจะได้ขึ้นมาเอากระเป๋าแล้วออกจากห้องนี้ทันที หล่อนไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานนักหรอก ยิ่งคิดว่าต้องอยู่ตามลำพังกับพ่อเลี้ยงก็ยิ่งขยาด
ไม่รู้เมื่อไหร่มารดาจะออกจากบ้านหลังนี้ไปสักที
“รีบไป ฉันไม่อยากให้พ่อแกรู้ แล้วก็ขับกลับมาจอดไว้ที่เดิมด้วยล่ะ” เม้มปากแน่นเมื่อได้ยินแม่เรียกผู้ชายคนนั้นว่าพ่อของเธอ อยากปฏิเสธแค่ไหนก็ต้องเก็บเอาไว้ ไม่อยากอารมณ์เสียไปมากกว่านี้แล้ว เริ่มเคลื่อนพาหนะออกจากโรงจอดรถแล้วขับพามารดาไปยังที่หมายโดยเร็วที่สุด
“ค่ะ”
ส่วนเธอก็จะได้กลับหอพักของตัวเองสักที!
พื้นที่ปลอดภัยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือไม่ได้พบหน้าทัพพ์ แต่ก็อาจจะดีกับหล่อนก็ได้
ควรตัดใจจากเขาสักที...
ทว่าแค่ก้าวออกมาจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถเมล์และต่อรถไฟฟ้าไปยังคอนโดมิเนียมของตัวเอง กลับต้องเจอกับปัญหาใหญ่เมื่อมีรถคันหรูขับเทียบมาจอดริมฟุตบาทที่หล่อนกำลังเดิน ทำให้ต้องหยุดฝีเท้าชั่วคราว มองไปยังสารถีสุดหล่อที่ลดกระจกแล้วเอ่ยอาสาอย่างมีน้ำใจ
มือบางกระชับสายสะพายกระเป๋าแน่น กลืนน้ำลายหนืดลงคอระหว่างที่คุยกับเขา ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะลดกรจกเพื่อคุยกับเธอด้วยซ้ำ
“จะกลับคอนโดเหรอ” เป็นการถามไถ่ทั่วไป แต่น้ำเสียงกับแววตาของเขาคล้ายกดดันอยู่ในที ทำให้หล่อนต้องรีบพยักหน้าตอบกลับ
“ค่ะ” ไม่กล้าเดินไปเพราะชายหนุ่มยังคงไม่ยอมขับรถออก เขาถามต่อทำให้เธอยิ่งงุนงงมากกว่าเดิมว่าอีกฝ่ายอยากรู้ไปทำไม ดวงตากลมกระพริบปริบแล้วตอบเขาตามความจริง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็ตาม
“กลับยังไง”
“ขึ้นรถเมล์หน้าหมู่บ้านแล้วไปต่อบีทีเอสค่ะ คอนโดติดกับรถไฟฟ้าเดินไม่เยอะ” พูดจบก็คิดจะไหว้ลาเพื่อไปรอรถเมล์ แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหนเขากลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง จนหล่อนมีสีหน้าตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
ล้อกันเล่นหรือเปล่า!
“งั้นก็ขึ้นมาสิ เดี๋ยวฉันไปส่งที่คอนโด” นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างเล็กน้อย หัวใจเต้นรัวก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังเบาะว่างข้างคนขับ เป็นที่นั่งซึ่งเธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าตัวเองจะได้เข้าไปนั่ง เหมือนดวงตาพร่าเลือนไปชั่วขณะ
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเอามือตบหน้าตัวเองเรียกสติไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำได้คือกำตะเข็บกางเกงตัวเองแน่น ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะแล้วเลือกปฏิเสธ ให้นั่งบนรถเขากว่าครึ่งชั่วโมงเธอจะไม่ขาดอากาศหายใจพอดีหรือ
แค่เจอหน้าก็เหมือนจะหายใจไม่ออกแล้ว คิดด้วยความสับสนก่อนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ ไม่อยากรบกวนชายหนุ่มไปมากกว่านี้
“ไม่เป็นไรค่ะ เพียงไปเองได้ไม่รบกวนคุณทัพพ์...” พูดไม่ทันจบเขาก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน เสียงเข้มจนเธอไม่กล้าปฏิเสธ คำพูดของเขาคล้ายข่มขู่อยู่ในที สุดท้ายหล่อนก็ตัดสินใจต้องตอบรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งใจหนึ่งก็ต้องการอยู่ข้างชายหนุ่มเป็นทุนเดิม
ขอเอาแต่ใจตัวเองสักครั้งคงไม่เป็นอะไร
การตัดใจ...ไว้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้แล้วกัน
“ถ้าฉันพูดขึ้นมาเองนั่นหมายความว่าฉันเต็มใจทำและมันไม่ได้รบกวน...ฉันไม่ชอบพูดซ้ำ ขึ้นมาได้แล้ว” ความเด็ดขาดของเขาได้มาจากการทำงานเช่นกันจนเผลอสั่งคนตรงหน้าราวกับอีกฝ่ายเป็นคนใต้อาณัติของตัวเอง
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” เดินอ้อมมาเปิดประตูแล้วนั่งลงบนเบาะนุ่มที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าตัวเองจะได้นั่งอยู่ตรงนี้ กอดกระเป๋าเป้ของตัวเองเอาไว้แน่น รัดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัย ลำคอตั้งตรงใบหน้าก็มองเพียงถนนอย่างเดียวจนตาลาย
เธอแทบไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้เกร็งขนาดนี้ กลัวว่าหากมองคนข้างกายจะละสายตาไม่ได้ จึงต้องเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง นับรถบนถนนไปเรื่อยปล่อยให้ความเงียบได้ทำงาน ยอมรับว่าอึดอัดกว่าตอนยืนอยู่ต่อหน้าเขาที่บ้านแสงเรืองวัฒนาซะอีก
เมื่อไหร่จะถึงคอนโดมิเนียมของเธอสักที...
“หายใจบ้างก็ได้” คำพูดของเขาฟังดูสบายกลับทำให้เธอสะดุ้ง หันมามองคนข้างกายด้วยใบหน้าตระหนกก่อนปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติ ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะเป็นการบอกเขาว่าเธอยังคงหายใจเหมือนเดิม
ไม่หายใจก็ตายพอดีน่ะสิ...แต่เมื่อกี้ก็เกือบไปแล้ว
