บทที่๑...ปรารถนาพบหน้า (๓)
เมื่อก่อนคิดว่าพี่ชายข้างบ้านโตแล้ว ทว่าพอมาเจอตอนนี้เขากลับดูมีสง่าราศีมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ร่างกายล่ำสัน ดวงหน้าคมเข้มกับรอยยิ้มที่แต้มมุมปาก มีเสน่ห์จนเธอไม่อาจละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้ แอบยืนมองเขาอยู่ห่างๆ
“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างกาย เธอจึงหันไปมองแล้วค้อมศีรษะให้เขา น่าจะเป็นเพื่อนของชายหนุ่มหรือคนที่เข้ามาในงาน ดูจากหน้าตาคงอยู่ในวัยเดียวกับทัพพ์
“ค่ะ” ตอบรับตามมารยาท
“มาคนเดียวเหรอครับ” ใจไม่อยากโต้ตอบหรือพูดคุย แต่จะให้ตัดบทก็ดูเสียมารยาท
“มากับครอบครัวค่ะ ขอตัวนะคะ” พูดจบก็หยิบจานที่ตักอาหารเดินกลับโต๊ะทันที ไม่อยากต่อความยาวกับคนไม่รู้จัก ตอนนี้เธอไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาในชีวิตหรือรักใครทั้งนั้น
หากไม่ใช่คนที่ตัวเองมีใจให้...
สองสามีภรรยาทำการสงบศึกชั่วคราวเมื่อเพียงออเดินกลับมาร่วมโต๊ะ เธอวางจานอาหารไว้ตรงหน้าพ่อเลี้ยงแล้วคิดจะชักมือกลับ ทว่าอีกฝ่ายกลับคว้ามือของหล่อนไว้อย่างรวดเร็ว จนร่างบางเผลอชักสีหน้า
“ขอบคุณนะ” พูดจบก็ปล่อยมือเธอ เล่นเอาหล่อนโกรธจนเกือบปรี๊ดแตกหากไม่ใช่อยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับทัพพ์คงกลับบ้านแล้ว
คุณปาริฉัตรเห็นเหตุการณ์เต็มสองตาก็กำมือแน่น พอจะทราบว่าสามีหวังเคลมลูกสาวนาง แต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะยังหวังทรัพย์สมบัติมหาศาล จึงไม่เคยห้ามปรามเมื่อเพียงออขอออกไปอยู่ข้างนอก อย่างมากก็แค่ค่อนขอดไปตามเรื่องราวเท่านั้น
มือบางกำเข้าหากันแล้วแอบเช็ดแขนข้างที่ถูกจับ เธอภาวนาทุกวันให้มารดาหย่ากับกันตภัคสักทีแต่ก็ไม่เป็นผล ตนจึงเลือกถอยห่างออกมาดีกว่าอยู่เป็นอาหารให้เสือแก่ผู้หิวโหยฉีกทึ้ง
“ขอบคุณทุกท่านที่มางานวันนี้นะครับ ผมเพิ่งกลับไทยได้ไม่นานทุกอย่างดูเปลี่ยนไปมาก แต่ที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความอบอุ่นที่ได้รับ...หวังว่าคืนนี้ทุกคนจะดื่มด่ำกับอาหารแล้วก็บรรยากาศดีๆ นะครับ” เจ้าของงานขึ้นกล่าวแล้วค้อมศีรษะให้ทุกคนที่มาร่วมงาน
เพียงออที่อยู่ในอารมณ์โกรธรีบหันไปมองพลางยกยิ้มมุมปาก แววตาเป็นประกายยามจ้องมองร่างสูงใหญ่ เธอต้องยอมรับกับตัวเองว่าคิดถึงและรอคอยเขามาโดยตลอด
เมื่อก่อนในฐานะพี่ชาย...แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจว่าคิดกับทัพพ์แค่พี่ชายหรือเปล่า
บางทีมันอาจจะพัฒนาไปมากกว่านั้นก็สุดจะคาดเดา
“นอกจากนี้เรายังมีข่าวดีจะบอกกับทุกท่านด้วยนะคะ” ลูกชายยังไม่ได้ลงไป คนเป็นแม่ก็รีบคว้าแขนเอาไว้แล้วบังคับให้ทัพพ์กลับมายืนที่เดิม เขาไม่อาจเลี่ยงได้จำต้องเดินตามท่าน สายตามองไปทีล่ะโต๊ะก่อนจะหยุดที่หญิงสาวผู้สวมเดรสสีชมพูอมแดงซึ่งนั่งเด่นอยู่ไม่ไกล
หล่อนตกใจเมื่อพบว่าเขากำลังมองมา จึงเลือกจะหลบสายตารวดเร็ว ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องทำอย่างนั้น แต่เธอไม่กล้ามองตาเขา หัวใจพาลจะเต้นไม่เป็นจังหวะอย่างน่ากลัว...มันอาจจะหลุดออกมานอกอกก็เป็นได้
“อีกไม่นานทัพพ์กับหนูอนุรดีกำลังจะแต่งงานกัน” สิ้นเสียงประกาศคนในงานต่างปรบมือเกรียวกราวพร้อมโห่แซวไม่หยุด
ร่างสูงหันมามองมารดาแววตาคุกรุ่นแต่ไม่อาจพูดอะไรได้ ขณะที่เพียงออหูดับไปแล้วเมื่อจบประโยคนั้น ดวงตากลมสั่นไหวพร้อมกับหัวใจที่เต้นช้าลงจนกลับมาเป็นปกติ
หมายความว่าอย่างไร เขามีแฟนแล้วอย่างนั้นหรือ...
“การ์ดเชิญจะส่งถึงมือทุกท่านอย่างแน่นอน อย่าลืมมาร่วมฉลองงานมงคลด้วยนะคะ” ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวขณะที่เจ้าตัวก็ต้องยิ้มตามน้ำ แม้ว่าดวงตาจะแข็งกร้าวแค่ไหน เพราะไม่มีการคุยกันก่อนในเรื่องนี้
น่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่พูดคุยกันเองโดยไม่ได้ถามไถ่เขาสักคำ หากไม่เพราะต้องรักษาหน้าของครอบครัว คงปฏิเสธกลางงานไปแล้ว
เขากับอนุรดีคบหากันนานกว่าเจ็ดปีตั้งแต่เรียนปริญญาตรีที่อเมริกา ครอบครัวของเธอทำธุรกิจโรงแรม มีสาขาประเทศไทยและแผ่ขยายไปโซนอาเซีย พ่อแม่ของเราก็สนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ความเหมาะสมไม่ต้องพูดถึง...ราวกิ่งทองใบหยก
แต่น่าเสียดายที่หล่อนยังไม่กลับไทยเพราะต้องจัดการเรื่องงานที่นิวยอร์กให้เรียบร้อย อาจถึงไทยสัปดาห์หน้า...
“แม่ หนูกลับก่อนนะ หัวหน้าทักมาถามเรื่องงาน” ไม่อาจทนอยู่ต่อได้จึงหันไปกระซิบบอกมารดา
“อือ” นางทำเพียงพยักหน้าไม่ได้ถามอะไรอีก หล่อนถึงเดินออกจากงานโดยไม่มีใครสนใจเพราะทุกคนกำลังฉลองกับข่าวดีของทัพพ์
มีเพียงเจ้าของงานซึ่งมองตามเธอจนสุดสายตา โดยไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ขณะที่เธอรู้สาเหตุของความเสียใจเป็นอย่างดี ไม่ได้รักใครมาหลายปีแล้ว ไม่ใช่เพราะหารักไม่เจอแต่เพียงออรู้ดี...ตนกำลังรอใครบางคนกลับมาต่างหาก
ทว่าคนคนนั้นกลับมีเจ้าของ แล้วเธอก๊อกหักทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มอะไรสักอย่าง
งานเลี้ยงจบลงแล้วพร้อมแขกที่ทยอยกลับ ร่างหนาขอตัวขึ้นไปบนบ้านทันทีพร้อมกระชากเนกไทออกอย่างหงุดหงิด กดโทรออกไปถึงคนที่อยู่ไกลอีกซีกโลก รอสายไม่นานหล่อนก็รับ ไม่มีคำทักทายนอกจากตรงเข้าประเด็นที่สร้างความหงุดหงิดแก่เขาเป็นอย่างมาก
“เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าเธอกลับไทยจะบอกผู้ใหญ่เรื่องที่เราเลิกกัน” การคบหากว่าเจ็ดปีจบลงเมื่อสามเดือนก่อนเขากลับไทย ทว่าหล่อนเป็นคนขอร้องให้เก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน รอหญิงสาวกลับไทยจะเป็นคนบอกท่านด้วยตัวเอง
แต่วันนี้มารดาของเขากลับประกาศเรื่องงานแต่งกะทันหัน ร่างสูงก็ตั้งรับไม่ทันเช่นเดียวกัน หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าครอบครัวทั้งของหล่อนและของเขาก็คงประกาศยกเลิกกลางงานแล้ว
เจ็ดปีอาถรรพ์ที่คนเขาเล่าลือกันเกิดขึ้นจริงกับคู่ของตน...
ความจริงมันน่าจะจืดจางตั้งแต่ปีที่ห้าย่างเข้าปีที่หก ชายหนุ่มสนใจการงานแทบไม่มีเวลาให้เธอ เจอกันนับครั้งได้แม้จะอาศัยในอพาร์ทเม้นท์เดียวกัน หล่อนเองก็ยุ่งกับการเรียนปริญญาโทที่กินเวลามาอย่างยาวนาน
ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสัมพันธ์ก็ห่างเหิน รู้ตัวอีกทีก็คล้ายจะเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว จึงได้มานั่งคุยถึงปัญหา ช่วยกันปรับแก้แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนสุดท้ายเลือกการเลิกราน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคน
‘นายคิดเองเออเองว่าจะเลิก ฉันไม่ได้พูดสักคำ’ ยืนยันกระต่ายขาเดียว เล่นเอาคนฟังถึงกับกำหมัดแน่น
“อย่ามาเล่นลิ้นนะรดี เราพูดกันรู้เรื่องแล้ว...” วันนั้นเธอเองก็พูดจาชัดเจนว่าให้เลิกกันไม่ใช่เพียงแค่ห่าง แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงได้กลับคำ
‘ขอโทษที ฉันจำไม่ได้และคงไม่เลิกกับนาย คบกันมาเจ็ดปีฉันเสียดายเวลาถ้าต้องไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่น อีกอย่างครอบครัวของเราก็สนิทกัน เลิกไปแล้วพวกท่านจะเข้าหน้ากันติดเหรอ’ เหตุผลของหล่อนฟังไม่ขึ้นสักนิด แต่เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมเธอถึงเลือกบอกทุกคนว่ายังคบกัน
ต้องการอะไรจากการแต่งงานครั้งนี้...
“เธอต้องการอะไรกันแน่”
‘ต้องการนายไง ฉันรักนาย’ คำพูดไม่แสดงถึงความจริงใจสักนิดจนเขาไม่อาจทนฟังต่อได้ คำที่พ่นออกมามีแต่คำโกหกทั้งนั้น
“กลับมาเมื่อไหร่ค่อยคุยกันอีกที” วางสายอย่างรวดเร็วเพราะไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม คุยไปก็รังแต่จะทะเลาะกันเสียเปล่า หล่อนกลับมาถึงไทยเมื่อไหร่เขาจะไล่ต้อนพูดเรื่องนี้ให้รู้ดำรู้แดงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทำไมการเลิกราครั้งนั้นจึงนำมาสู่การแต่งงานไปเสียได้
กลับมานอนบ้านเศวตวิกรในรอบหลายปี ยอมรับว่านอนไม่ค่อยหลับ ใจคิดถึงแต่เรื่องการแต่งงานของเขาที่ประกาศเมื่อคืน พลิกกายหลายรอบพร้อมน้ำตาที่นองหน้า สงสัยตัวเองเช่นกันว่าปักใจรักเขาขนาดนี้ได้อย่างไร
ทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์ชวนใจวาบหวามสักครั้ง เธอนั่งกินขนมส่วนเขานั่งอ่านหนังสือ บทสนทนาก็แสนสั้นในแต่ละครั้ง
แล้วทำไมหล่อนจึงจดจำชายหนุ่มได้จนถึงปัจจุบัน...เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
หรือเป็นเพราะเขาคือฮีโร่ในใจหล่อนมาตลอด ผู้ชายที่ช่วยฉุดดึงเธอให้ขึ้นมาจากเหวลึกที่เรียกว่าความเหงา เพื่อนคนแรกเมื่อมาอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย พี่ชายใจดีช่วยแบ่งขนมให้กิน และเจ้าของสุนัขที่คอยอยู่เคียงข้างกันมาโดยตลอด
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาติดอยู่ในใจของเธอมานานหลายปี...
วันหยุดไม่มีงานจึงตัดสินใจแอบมองมาที่บ้านแสงเรืองวัฒนา เหมือนคนบ้านนั้นจะออกไปข้างนอกหมดแล้ว หล่อนจึงใช้โอกาสนี้มุดช่องขนาดเล็กที่แม้ตนจะโตขึ้นก็ยังใช้เส้นทางนี้มาบ้านของเขาเช่นเดิมเพื่อไปเล่นกับเจ้าแจ็คกี้
หมาแก่ที่ชอบนอนมากกว่าเล่นสนุก แต่ละวันผ่านพ้นไปด้วยการดมกลิ่นหญ้าจนเธอคร้านจะชวนมันวิ่ง
“มุดรั้วมาบ่อยหรือไง” ออกมาได้ครึ่งตัวยังไม่ทันจะพ้น กลับมีเสียงดังขึ้นเหนือศีรษะ เธอเงยขึ้นไปดูก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ คิดจะถอยกลับบ้านตัวเองแต่ก็ไม่ทันเพราะเขาจับแขนของตนเอาไว้เสียก่อน พร้อมใบหน้าเรียบเฉยที่เตรียมเอาเรื่องเต็มที่
ต่างจากแววตาที่พราวระยับอย่างมีความสุขเมื่อได้เห็นเด็กสาวหน้าเหวอ
“ออกมาคุยดีๆ”
สั่งเสียงเข้มจนร่างบางจำต้องมุดรั้วไปหาเขา ปัดเศษดินออกจากชุดสีเข้มของตัวเอง ยืนเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ได้พบกันมากว่าสิบสองปีด้วยหัวใจสั่นไหว
คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไรกับเขาดี เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นไปสบตา กระทั่งมือหนาเอื้อมมาเชยคางมนเพื่อให้เห็นดวงตาสีเข้มได้ชัดเจน
“ไม่เจอกันนาน...โตขึ้นมากเลยนะ”
คำทักทายของเขาทำให้แก้มนุ่มแดงซ่าน หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอก วินาทีนั้นลืมไปเสียสนิทว่าชายตรงหน้าไม่โสดและกำลังจะแต่งงาน
เพราะหัวใจของเธอมันร่ำร้องเรียกหาเพียงเขา...
คุณทัพพ์...ที่หล่อนรักหมดหัวใจ
