บทที่๑...ปรารถนาพบหน้า (๑)
บทที่๑...ปรารถนาพบหน้า
วันเวลาที่ผ่านไปไม่ทำให้สาวน้อยลืมพี่ชายใจดีคนนั้นได้เลย แม้ว่าเธออาจจะใช้เวลากับเขาไม่นาน พูดคุยกันแทบนับคำได้ แต่ภาพคนตรงหน้าไม่ได้จางหายไปไหน ยามที่เธอว่างก็มักหมุดรั้วมานั่งเล่นที่บ้านของเขา โดยมีแจ็คกี้คอยอยู่เป็นเพื่อนเสมอ
บ้านหลังใหญ่ไม่ค่อยมีคนอยู่เพราะประมุขของบ้านก็ยุ่งกับงาน ภริยาก็ออกงานสังคมไม่เว้นวันกลับมาถึงบ้านหัวถึงหมอนหลับทันที
บ้านหลังนี้เกือบจะร้างอยู่แล้วหากไม่มีบรรดาแม่บ้านคอยปัดกวาดเช็ดถูก...
“เมื่อไหร่พี่จะกลับมานะ” หล่อนนั่งลงที่เก้าอี้ไม้สีขาวตัวเดิม หยิบขนมไปให้เจ้าแจ็คกี้ที่หมอบอยู่ข้างกัน
เด็กวัยสิบสองปีเติบโตตามกาลเวลาจนตอนนี้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันได้แล้ว ไม่มีอะไรจะต้องห่วงนอกจากข่าวดีที่หล่อนต้องการบอกเขา ทว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดมีเบอร์หรืออีเมลที่สามารถแนะนำตัวแล้วเล่าเรื่องของตนได้
เรื่องราวของพี่ชายคนนั้นก็แทบไม่ทราบ...นอกจากเขาชื่อทัพพ์และเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านแสงเรืองวัฒนา
เพียงออ ฤทัยงามอาศัยอยู่บ้านเศวตวิกรอย่างสุขสบายเมื่อไร้เงาของลูกชายพ่อเลี้ยงอย่างกิตติกร อีกฝ่ายเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ปิดเทอมก็ไม่ยอมกลับไทยและตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่นั้น ไม่มีกำหนดกลับแม้บิดาจะไปบังคับให้กลับมาพร้อมกันก็ตาม
ซึ่งเธอค่อนข้างโล่งใจเมื่อเขาไม่กลับ จำได้ดีถึงความน่ากลัวของพี่ชายต่างสายเลือด และเขาก็คงไม่เปลี่ยนนิสัยอย่างแน่นอน หากได้อยู่บ้านเดียวกันคงโดนราวีไม่เว้นวัน ก่อนเขาไปต่างประเทศก็ก่อกวนเธอให้อยู่ไม่สุข
ใครบ้างจะอยากให้คนแบบนั้นกลับบ้าน...
“คุณเพียง...มาเล่นกับแจ็คกี้อีกแล้วเหรอคะ” ป้าจวนหัวหน้าแม่บ้านของครอบครัวแสงเรืองวัฒนามักจะเข้ามาทักทายหล่อนอยู่เสมอ ท่านเป็นคนใจดีมีเมตตาต่างจากคนอื่นที่มองว่าหล่อนเป็นลูกสาวของผู้หญิงกลางคืนที่คิดมาจับผู้ชายรวย
ป้าจวนมักจะทำขนมมาให้ชิมยามเล่นกับเจ้าสี่ขา สอนเรื่องการบ้านการเรือน ร้อยมาลัยหรืองานเย็บปักก็สอนทุกอย่าง ถ่ายทอดวิชาการโดยไม่ยอมเล่าเรื่องของเจ้านายให้เธอฟังแม้จะเพียรถามมาตลอดเวลาหลายปีก็ตาม
ท่านถือคติเรื่องของเจ้านายบ่าวไม่ควรป่าวประกาศ ถึงจะไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
“ค่ะป้าจวน อีกหน่อยหนูคงไม่ค่อยได้มาแล้วเพราะว่าต้องไปอยู่หอใกล้มอ มันสะดวกกว่าน่ะค่ะ” ตัดสินใจขอแยกออกไปอยู่ตัวคนเดียว อยู่หอพักนักศึกษาที่ค่าใช้จ่ายถูกทั้งยังอยู่ใกล้ที่เรียนอีกต่างหาก ไม่ต้องอยู่ที่บ้านแล้วฟังคำดูหมิ่นของบรรดาแม่บ้าน มองดูแม่กับพ่อเลี้ยงทะเลาะกันตลอดเวลา เบื่อความเมามายของแม่และสายตาของคุณกันตภัคที่นับวันยิ่งไม่น่าไว้ใจ
ขอหนีออกไปใช้ชีวิตคนเดียวดีกว่า อาจต้องลำบากหน่อย ทำงานเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนและใช้ประจำวันเพราะไม่อยากขอแม่ที่ได้เงินทั้งหมดมาจากพ่อเลี้ยง หล่อนขอยืนด้วยลำแข้งของตัวเองดีกว่า
งานวาดภาพเป็นรายได้ชั้นดีของเธอ ตอนนี้มีหลายสำนักพิมพ์ชอบในลายเส้นวาดจึงติดต่อให้วาดภาพหน้าปกนิยาย เธอดีใจเป็นอย่างมากเมื่อหาเงินได้เอง
“เจ้าแจ็คกี้คงเหงาน่าดู” เหลือบมองโกลเด้นที่กระดิกหางไปมาระหว่างนอนแทะขนมของตัวเอง หล่อนยกยิ้มเอ็นดูมันแล้วเอ่ยถึงเจ้าของตัวจริง
“อีกไม่นานคุณทัพพ์ก็กลับ แจ็คกี้คงไม่เหงาหรอกค่ะ” หกปีผ่านไปนานพอสมควร ป่านนี้เขาคงจะเรียนจบปริญญาตรีและเตรียมตัวกลับไทยแล้ว หล่อนเฝ้านับวันรอให้ชายหนุ่มกลับคืนบ้านเกิดแม้ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่
ป้าจวนยิ้มเล็กน้อย พอจะทราบว่าคนตรงหน้ายึดติดกับพี่ชายใจดี ไม่อย่างนั้นคงไม่มานั่งเล่นที่บ้านหลังนี้ทุกครั้งยามว่าง ทั้งยังนั่งอยู่สวนที่ทัพพ์ชอบมานั่งพักผ่อนอ่านหนังสืออีกต่างหาก
ถ้าได้มาเป็นคุณหนูคนเล็กก็คงจะดี น่าจะเข้ากับคุณชนจันทร์ได้ง่าย...
“เห็นคุณท่านบอกว่าคุณทัพพ์จะทำงานที่นิวยอร์กหลังจบปริญญาโท กว่าจะกลับไทยก็คงอีกสี่ห้าปี...” เป็นครั้งแรกที่บอกข่าวคราวของเขาให้หล่อนทราบ ใบหน้าหวานถอดสีไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่นั่นนาน หวังว่าคงไม่อยู่จนจบปริญญาเอกหรอกนะ
“นานขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ค่ะ”
แอบใจหายเมื่อฟังจบ อยากถามต่อแต่ก็ได้ยินเสียงรถของมารดาแล่นเข้ามาเขตรั้วบ้าน จึงรีบมุดช่องเล็กออกไป เกรงจะถูกดุหากท่านรู้เรื่องที่เธอมาเล่นบ้านนี้
การเรียนเพียงออไม่ทิ้ง ความรักก็หวานไม่ต่างกัน เธอแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวโดยคบกับพิชยะ พัฒนาศิลป์ เจอกันเพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสมัยมัธยมกับเพื่อนสนิทของเธอ คุยกันเรื่อยมาจนพัฒนาความสัมพันธ์
ทว่าก่อนเรียนจบก็ต้องเลิกรา ครอบครัวของอีกฝ่ายไม่ชอบหล่อน การดันทุรังคบกันต่อไปไม่เป็นผลดีกับใคร ทั้งยังบั่นทอนเราสองคน คุยกันด้วยดีจึงเลือกแยกทาง วันรับปริญญาของเธอก็มีเขามาแสดงความยินดีด้วย
พร้อมแฟนสาวคนใหม่ของอีกฝ่าย...
“กลับมาบ้านได้สักทีนะ ตะล่อนอยู่ข้างนอกซะหลายปีนึกว่าจะลืมทางกลับบ้านไปแล้วซะอีก” ย่างเท้าเข้ามาในบ้านเศวตวิกรก็ถูกค่อนขอดจากมารดาทันที หล่อนแทบไม่ย่างกรายเข้ามาบ้านหลังนี้ตลอดระยะเวลาหกปี หรือหากจะมาก็แค่แวะมาเอาของจำเป็นแล้วกลับออกไป ไม่อยู่พบหน้าท่านสักครั้ง
คุณปาริฉัตร เศวตวิกรในวัยสี่สิบแปดปียังคงงดงามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เข้าคลินิกศัลยกรรมเป็นว่าเล่นเพื่อมัดใจสามี แต่ดูเหมือนว่าท่านกลับไม่ยอมพอ หาเศษหาเลยตลอดเวลาตามนิสัยของคนมักมาก อีกทั้งยังหวงสมบัติ รอเวลาให้ลูกชายเพียงคนเดียวในสายเลือดกลับมาถือครอง
แม่ของหล่อนจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้สามียอมยกมรดกในส่วนที่ควรจะได้ให้ตนเอง แต่ความหวังก็เลือนรางเหลือเกิน พบกันแต่ละครั้งมีแต่ทะเลาะเบาะแว้งไม่มีจบสิ้น บ้านที่ควรอบอุ่นก็ร้อนราวกับไฟแม้จะหลังใหญ่โตราวปราสาทราชวังก็ตาม
ทว่าหากไม่มีความสุขใครบ้างจะอยากพักอาศัย...
“แม่เรียกหนูกลับมามีอะไรหรือเปล่า” ถอนหายใจกับคำทักทายที่น่าเบื่อ นั่งลงที่โซฟาเดี่ยวเยื้องกัน อยากรีบขึ้นบนห้องเต็มที
หลังเรียนจบเธอได้เข้าทำงานที่บริษัทอนิเมชั่นแห่งหนึ่ง อยู่ที่นี่ได้สองปีก็ทำการยื่นกู้เพื่อซื้อคอนโดมิเนียมขนาด 35 ตารางเมตรใจกลางกรุง อยู่ติดรถไฟฟ้าและห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ออกมาอยู่คนเดียวแทบไม่กลับบ้านเศวตวิกร
