บทที่ 1 ร้านขนมแม่ศร (1)
บทที่ 1
ร้านขนมแม่ศร (1)
‘ร้านขนมแม่ศร’ เปิดบริการได้สองปีแล้วจนตอนนี้กลายเป็นร้านเด่นร้านดังขึ้นชื่อเรื่องของหวานในโลกโซเชียล
ลูกศรนำเงินที่ได้หลังหย่ามาเปิดร้านขนมเป็นของตัวเอง มันคือความชอบและความฝันที่เธอตั้งใจตั้งแต่วัยเด็ก ทว่าคนฐานะปานกลางอย่างเธอไม่มีทุนมากพอที่จะเปิดร้านได้ด้วยตัวเอง แต่พอมีเงินก้อนก็ไม่รีรอที่จะเดินตามความฝัน และความพยายามก็ไม่เคยทรยศใครเพราะหลังจากเปิดทำการได้เพียงหนึ่งเดือน ความอร่อยและความใส่ใจในตัวขนมก็เป็นที่พูดถึงกันปากต่อปาก กลายเป็นว่าร้านขนมแม่ศรโด่งดังจนต้องจองคิวข้ามเดือนเลยทีเดียว
“พี่ลูกศรขา หนูกลับก่อนนะคะ หนูเคลียร์ออเดอร์เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ สามที ก่อนที่ประตูห้องชั้นสองของตึกพาณิชย์ที่ใช้เป็นห้องทำงานจะถูกเปิดออก ตามมาด้วยใบหน้าของพนักงานพาร์ตไทม์ที่ชะโงกเข้ามา
“จ้ะ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็กลับได้เลย นี่พี่ก็ว่าจะลงไปพอดี” ลูกศรลุกจากโต๊ะพลางกอดแฟ้มเอกสารไว้แนบอก วันนี้พนักงานที่ร้านขอลาครึ่งวันเนื่องจากมีธุระสำคัญ เธอเลยใช้เวลาไปกับการเคลียร์เอกสารเพื่อที่ช่วงบ่ายจะได้อยู่เฝ้าร้านต่อ
ถึงร้านขนมแม่ศรจะโด่งดังและมียอดขายถล่มทลาย แต่ตัวร้านก็ยังคงเป็นร้านเล็ก ๆ ที่ตึกพาณิชย์สองคูหา ระบบหลังร้านลูกศรเป็นคนจัดการเพียงคนเดียว รวมถึงการทำขนมก็ด้วยเช่นกันเพราะไม่มีใครทำตามมาตรฐานได้ดีไปว่าตัวเอง
ส่วนหน้าที่ของพนักงานที่ร้านก็คือการรับลูกค้าและขายสินค้า ร้านนี้มีทั้งขนมที่สั่งจองล่วงหน้าและขนมที่วางขายในตู้ชั้นวางรวมถึงเครื่องดื่มจำพวกน้ำสมุนไพรที่ปรับเปลี่ยนให้มีรสชาติถูกปากที่ทุกคนสามารถดื่มได้ ไม่แปลกเลยที่ร้านขนมแม่ศรจะเป็นที่โด่งดังแบบนี้
“งื้อ แมะ แมะ ฮื่อแง! แม่จ๋า!” เสียงโยเยร้องดังขึ้นเรียกรั้งทุกความสนใจจากตัวลูกศร
นี่ไง ที่มาที่ไปของการตั้งชื่อร้านขนมแม่ศร
จากวงแขนที่หอบแฟ้มเอกสารทำบัญชีก็วางทิ้งลงกลับที่เดิม และเดินปรี่เข้าไปหาลูกน้อยที่ส่งเสียงร้องไห้มาจากเปลเด็ก
“ร้องอะไรครับลูก แม่อยู่นี่ครับ” ลูกศรโน้มตัวไปอุ้มลูกน้อยขึ้นอุ้มประคอง ตบลูบเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม อาการแบบนี้คงเป็นเพราะแพมเพิสเต็มแล้วแน่นอน
“อุ๊ย หนูพูดเสียงดังจนทำให้เจ้าจิ๋วตื่นหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่หรอก คงอึอึ๊น่ะ” อึอึ๊ที่ว่าก็คือการขับถ่ายนั่นแหละ
“งั้นหนูกลับก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูช่วยเอาแฟ้มพวกนี้ไปวางไว้ข้างล่างให้ดีกว่า” พนักงานที่ยังอยู่ในวัยเรียนอาสาเดินมาหยิบแฟ้มเอกสารไปวางไว้ข้างล่าง รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงเปลี่ยนสถานที่ทำงานจากห้องนี้ไปเป็นชั้นล่างเพราะต้องอยู่เฝ้าร้านในตอนที่เธอขอลาครึ่งวัน
นอกจากตัวร้านที่ลูกศรต้องจัดการด้วยตัวเองแล้วก็ยังมีลูกชายวัยสองขวบสามเดือนให้ดูแล ลูกศรเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่โชคดีที่เธอมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงดูลูกไม่ให้ลำบากเหมือนตอนที่ตัวเองเติบโตมา
ลูกศรเดินกลับลงมายังชั้นล่างหลังจากที่เปลี่ยนแพมเพิสให้ลูกน้อยแล้วก็พากล่อมนอนซึ่งอยู่ใกล้ในระยะสายตา พอเห็นว่าลูกหลับสนิทแล้วเธอก็ใช้เวลาที่ยังไม่มีลูกค้าเข้ามานั่งทำบัญชี นี่ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้วต้องเคลียร์อะไรอีกมากมาย แล้วก็ตั้งใจว่าจะให้โบนัสกับพนักงานในร้านที่ทำงานหนัก ถึงภาระงานจะไม่ได้มากแต่เธอก็คิดว่ามันน่าจะเป็นของเรียกขวัญและกำลังใจให้กันได้
“แอะ ฮื่อ...งื้อ แมะจ๋า! อุ้มหน่อย ฮึก...แม่!” เด็กน้อยร้องไห้ขึ้นอีกแล้ว ลูกศรถึงกับละทิ้งทุกอย่างและรีบเข้าไปอุ้มลูกขึ้นแนบอกทันที มันเป็นอาการปกติของเด็กที่นอนจนเต็มอิ่มแล้วร้องโยเยเรียกความสนใจ
“ว่าไงครับลูก อยากเล่นแล้วเหรอคนเก่ง” รอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้กับลูกชายที่แผดเสียงร้องลั่นร้าน เพียงยื่นมือไปเกลี่ยจมูกและแก้มเนียนก็หยุดเสียงงอแงแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงขำขันคิกคักจากลูกชายได้กะทันหัน
