6 ถ้ามันคือพรหมลิขิตจริง...แสดงว่าเราก็ไม่ต้องทำอะไร
“อะไรนะ! แกบังเอิญไปเจอกับแฟนเก่าจริงๆ?” คนที่เพิ่งจะยกเวทเสร็จไปหมาดๆ พยักหน้าด้วยความอ่อนล้า หลังจากที่หลุดเล่าเรื่องนี้ให้คนที่มายิม แต่ไม่ยอมออกกำลังกายฟัง
“แล้วเป็นยังไง เหมือนที่ฉันบอกเอาไว้มั้ย?” คนหาพวกอย่างตันหยงว่าอย่างตื่นเต้น เพราะเบื่อเต็มทนแล้วกับการ move on ที่ต้องฝืนหัวใจตัวเองอย่างยิ่งยวดนี่
“เหมือนอะไร?”
“ก็ยังลืมเขาไม่ได้ ใจยังเต้นแรงอยู่ ความทรงจำต่างๆ พัดผ่านเข้ามา แล้วสุดท้ายหัวใจ...ก็เหมือนกลับไปเริ่มนับ 1 ใหม่อีกครั้ง”
“ไม่อ่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว” ว่าอย่างไม่ยี่หระ แม้จะมีรู้สึกบ้าง...แต่ความมาไกลของตัวเอง มันย้ำเตือนให้เธอได้รู้ว่า ไม่ควรจะกลับไปรู้สึกกับอะไรทั้งนั้น
“จริงดิ ไม่อยากจะเชื่อเลย” ตันหยงมองเชิงคาดคั้น ย่นจมูกอย่างขัดใจ พร้อมส่ายหน้า
“แต่จะว่าไป...มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ ที่จะวนกลับมาเจออีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้อยู่ในแวดวงสังคมเดียวกัน” คำวิเคราะห์ของคนที่อยากจะออกจากวงการ move on เสียเหลือเกิน ก็ทำให้คนที่หลงลืมบางสิ่งไป นึกได้ขึ้นมา
นั่นสิ
หลังไพ่สีดำที่เรียงเป็นครึ่งวงกลมในทุกครั้งที่มีเรื่องต้องถาม ก็หวนย้อนเข้ามาในหัวทันที
“อย่าบอกว่านี่จะคือพรหมลิขิตที่ไพ่บอก” สุนทรีเผลอพึมพำออกมา
“ยังไงนะแก พรหมลิขิตอะไร?” และแน่นอนว่าคนหูไว ไม่มีทางที่จะพลาดการได้ยินนี้เป็นแน่
“คือว่า...” และเธอก็ได้ตัดสินใจเรื่องราวก่อนหน้า เกี่ยวกับการดูไพ่ของตัวเองให้ฟังอย่างละเอียด
ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เล่าแต่เพียงคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ได้บอกว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรเกี่ยวกับพรหมลิขิตครั้งนี้
“คือฉันไม่ได้คิดที่จะลบหลู่ไพ่ทาโรต์เลยนะ...ฉันแค่คิดว่าในเมื่อความสัมพันธ์มันไม่ได้ทำให้สุขภาพจิตเราดีขึ้น เราจะทนอยู่ไปเพื่ออะไร”
“มันก็จริงของแก แต่ไพ่ก็บอกไม่ใช่เหรอว่าให้แยกกันไปก่อน แล้วก็จะวนกลับมาอีกครั้ง...นี่ก็วนแล้วไง อย่างนี้ก็แสดงว่าไพ่ก็แม่นสุดๆ ไปเลยสิ” คนที่อยากให้เพื่อนดูให้มาตลอด ว่าพร้อมส่งสายตาเป็นประกาย
“วนแล้วไง ฉันไม่ได้อยากจะกลับไปในความสัมพันธ์นี้อีกแล้ว แล้วฉันก็ไม่เชื่อด้วยว่าการกลับไป ยังไงทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม”
“แกอย่าปิดกั้นตัวเองดิ ใครจะไปรู้...คนที่เขาเลิกกันไปหลายปี วนกลับมาเจอกันอีก ก็ได้แต่งงานก็มี ไม่เคยได้ยินเหรอที่มีคนเคยบอกว่า ถ้าอยากได้อะไรมากๆ ให้ปล่อยสิ่งนั้นไป ถ้ามันไม่กลับมาอีกก็แสดงว่ามันไม่เคยเป็นของเราเลย แต่ถ้ามันกลับมา...แสดงว่ามันเป็นของเรามาตลอด!” คนที่มีเรือนกายชุ่มเหงื่อรีบโบกมือเชิงปัด
“แค่วนกลับมาทำงานร่วมงานย่ะ ไม่ใช่วนกลับมาคบกัน อย่าเพิ่งมโน”
“มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ จะวนกลับมายังไง ก็ถือว่าได้มาเจอกันอีกครั้ง ไม่แน่นะเว้ย การกลับมาครั้งนี้พี่เขาอาจจะรู้หัวใจตัวเองมากขึ้นก็ได้ แกมีมุมอะไรของตัวเองใหม่ๆ ก็อย่าลืมพรีเซ็นต์ให้หมดล่ะ”
“เพื่อ?”
“อ้าว ในการจบความสัมพันธ์หนึ่งๆ ไม่ได้หมายความว่าจะมีใครเป็นคนผิดฝ่ายเดียวเสียหน่อย แกอาจจะรู้แค่มุมตัวเองและไม่เคยเห็นข้อเสียของตัวเองเลยก็ได้ พี่เขาก็อาจจะมีมุมมองของเขาที่มีต่อแก ไม่แน่หรอกแกเวอร์ชันใหม่อาจจะทำให้เขาประทับใจอีกครั้งก็เป็นได้” สุนทรีรีบส่ายหน้าแบบไม่ยอมรับฟัง
“ฉันพยายามมามากพอแล้วกับคนอย่างเขา ถ้าเขาจะไม่เคยชอบในสิ่งที่ฉันเป็น ก็ถือว่าเราจบกันได้ด้วยดีแล้ว เพราะฉะนั้นมันไม่จำเป็นอะไรเลยเว้ย ที่จะต้องกลับไปพยายามกันอีก” คนพยายามอธิบายถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูดน้ำหวานในแก้วอึกใหญ่เชิงยอมแพ้
“เออ ก็แล้วแต่แกเลยละกัน....ว่าแต่ ดูไพ่ให้มั่งสิ ฉันว่าไพ่สำรับแกอ่ะ แม่นมากเลยนะ” ว่าพร้อมบีบนวดแขนให้เพื่อนไปมา ส่งสายตาเป็นประกายวิ้งๆ
“เออ ก็ได้”
แล้วตันหยงก็รีบกระจายข่าวให้คนอื่นๆ ทราบ เรื่องการวนกลับมาของแฟนเก่าสุนทรี ตามด้วยเรื่องความแม่นของไพ่ จนคนอื่นๆ ต้องพากันแห่มาที่คอนโดสองสาว
“การดูดวงไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่จะถือว่าการดูดวงคือการนำทางชีวิตทั้งหมดของเรา...มันก็คงไม่ใช่หรอกมั้ง” คุณครูสาวที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก แต่เมื่อเห็นว่ามีการรวมตัวกันจนครบ 5 คน ก็อยากจะมาร่วมด้วย
“แหม เงียบไปเลยค่ะแม่ชีขา...เมื่อวานหยงยอมไปวัดเป็นเพื่อนแล้ว วันนี้ต้องยอมหยงบ้างนะคะ” ถึงแม้ว่าตันหยงจะดื้อกว่าใครแค่ไหน แต่เมื่อเห็นใครเดือดร้อนหรือไม่มีเพื่อนไป ก็พร้อมที่จะไปด้วยเสมอ
“จริงค่ะน้องหยง น้องบุษจ๋า...วันนี้พี่แก้วขอหนึ่งวันนะคะ...มีหลายเรื่องที่อยากจะรู้มากเลยตอนนี้” แก้วกาหลงที่นับวันยิ่งจะสวยขึ้น รีบว่าอย่างวอนขอ เพราะเธอกำลังวางแผนที่จะทำธุรกิจของตัวเอง แยกออกจากครอบครัว ซึ่งอยากจะดูดวงก่อน ว่าแนวโน้มควรหรือไม่
บุษบาส่ายหน้าเชิงอ่อนใจและไม่พยายามเกลี้ยกล่อมอะไรอีก
“จะดูก็รีบดูเถอะ อยากรู้ด้วยจะแย่แล้ว” ตรีศรผู้ตั้งใจว่าจะไม่ดูแน่ๆ แต่อยากรู้เรื่องของคนอื่นรีบว่าอย่างตื่นเต้นไม่แพ้ใคร
“ไม่ดูด้วยกันเหรอจ๊ะแต้ว ได้ข่าวว่าแฟนก็กลับมาง้อเหมือนกันนี่” ตันหยงอดที่จะแหย่เข้าไม่ได้ ตามประสาคนกัดคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แต่ไม่มีใครถือสากัน
“พูดจา มันน่าแช่งให้โสดไปตลอดชีวิต”
“โหย! ล้อเล่นหรอกน่า แช่งแรงไปไหมนี่!” บุษบารีบส่ายหน้า พร้อมหันไปมองคนที่ถือไพ่ทาโรต์อยู่ด้วยแววตาเหม่อลอย
“เป็นยังไงบ้างแก ไหวไหม?” สุนทรีสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบกลบเกลื่อน
“ก็ไม่เท่าไหร่ ไม่เคยดูดวงให้คนอื่นมาก่อนเลย”
“บุษเขาคงหมายถึงเรื่องที่มีคนวนกลับมาน่ะจ้ะ...ไหวเปล่า?” แก้วกาหลงผู้สังเกตอยู่สักพักเหมือนกัน ว่าเชิงพร้อมที่จะรับฟัง จนสุนทรีต้องถอนใจออกมาเชิงตัดสินใจ
“เรื่องนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ ซีไม่ได้คิดอะไรแล้ว” เธอว่าออกมาอย่างที่รู้สึกจริงๆ แต่เรื่องอื่นต่างหากที่ทำให้เธอกังวลอยู่
“อ้าว แล้วที่ทำหน้าเครียดแบบนี้...เครียดเรื่องอะไรเหรอ?” บุษบาว่าอย่างเป็นห่วง
“คือซีไม่รู้ว่าการที่ซีเคยไปพูดเอาไว้ ว่าแล้วแต่พรหมลิขิตเลยอ่ะ พรหมลิขิตก็เลย...มาแกล้งหรือเปล่า” คำตอบของเธอ พาให้ทุกคนหัวเราะกันจนลั่น
“โถ ไอ้เราก็นึกว่าเรื่องอะไร...ที่แท้ก็เรื่องแค่นี้” ตันหยงว่าพร้อมเอามือหยิบขึ้นมาให้ดู ว่ามันเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน
“มันไม่ใช่เรื่องแค่นี้นะ ถ้าพรหมลิขิตจะแกล้ง แสดงว่าการกลับมาเจอกันแค่นี้ ไม่น่าจะจบลงง่ายๆ”
“พี่ว่าไม่น่าจะใช่พรหมลิขิตแกล้งหรอกนะ น่าจะเป็นเพราะพรหมลิขิตจะต้องดำเนินไป ตามช่วงเวลาของมัน ฝืนก็ไม่ได้ สร้างขึ้นมาก็ไม่ได้...อย่างนั้นมากกว่า” คนที่เชื่อเรื่องพวกนี้พอสมควรอย่างคนที่อายุมากที่สุด ทำเอาคนอื่นรีบพยักหน้า
“หมายความว่า เพราะเป็นเนื้อคู่กันก็เลยต้องวนกลับมาเจอกันและต้องลงเอยกันอย่างนั้นใช่ไหม?” คนที่ฟังไปด้วย คิดเรื่องของตัวเองไปด้วยอย่างตรีศรเอ่ยขึ้น พร้อมกลืนน้ำลายลงคอ
“ใช่! คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก...ยังไงการ move on ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องปิดกั้นตัวเอง จากทั้งความสัมพันธ์เก่าๆ หรือความสัมพันธ์ใหม่ๆ ก็ตาม” หนึ่งเดียวที่พยายามชวนให้ทุกคนมีแฟนกันสักที รีบถือโอกาสยืนหยัดในความคิดและความต้องการที่จะโน้มน้าวของตัวเอง
“ไม่จริงหรอกจ้ะ ชีวิตของเรา เรากำหนดมันเองได้...เราไม่เอาซะอย่าง เราเข้มแข็งซะอย่าง พรหมลิขิตก็มาทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” หนึ่งเดียวที่ยึดมั่นในพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ยืนหยัดในความเชื่อของตัวเองบ้าง จนตันหยงต้องโวยเชิงบ่นขึ้น
แต่ทั้งสองความเห็นก็กลับทำให้สุนทรีได้รับฟังและเปรียบเทียบกันอยู่ในหัวเชิงคิด
“กำลังจะบอกว่า ไม่เชื่อในอำนาจของพรหมลิขิตอย่างนั้นน่ะเหรอคุณแม่ชี?” ตันหยงว่าอย่างขัดใจขึ้นมาอีกรอบ
“มันก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ถ้าพรหมลิขิตจะลิขิตมาแบบนั้นจริงๆ เราก็ต้องอยู่นิ่งๆ ไม่ไปทุกไปร้อนหรือกลัวไปก่อน ถ้าพรหมลิขิตจะกำหนดมาจริงๆ ก็คงต้องแล้วแต่พรหมลิขิตเลยไม่ใช่หรือ
แสดงว่าเราไม่ต้องทำอะไร ไม่หนี ไม่วิ่งเข้าใส่ ให้พรหมลิขิตดำเนินการไปเองเลย...ไม่ใช่พอรู้ว่าเป็นคู่ก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะกลับไป และลืมเป้าหมายเดิมของตัวเอง” สุนทรีพยักหน้าเหมือนได้คำตอบที่น่าพึงพอใจ
จริงสินะ...ถ้านี่คือพรหมลิขิตจริง เราก็ไม่ต้องทำอะไร พรหมลิขิตต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายดำเนินทุกอย่างไปเอง
“สาธุ...อยากจะเห็นแม่ชี เจอมนต์ของพรหมลิขิตให้สักครั้ง เพี้ยง!” พอตันหยงพูดดังนั้น คนที่เจริญสติได้มากกว่าใครรีบส่ายหน้าเชิงไม่ต่อไต่
สุนทรีตัดสินใจดูไพ่ให้ทุกคนตามคำเรียกร้อง
แม้เสียงในหัวเล็กๆ ของทุกคนในแก๊ง move on
จะมีความคิดไปต่างๆ นานากัน...ทุกอย่างที่แสดงออก อาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้น ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมพูด!
