4 แอบดี
3 เดือนผ่านไป
ทักษะต่างๆ มากมายก่อเกิด ความทรงจำ ความเจ็บปวดต่างๆ เริ่มจางหาย
ใครบางคนในแววตา...ของคนในกระจกลางเลือนไป แม้จะยังไม่หมดนัก แต่ก็ถือว่าแทบจะหมดสิ้นแล้ว
เสียงลมหายใจยืดยาว ได้พ่นออกมา พร้อมปัดมาดคาร่าย้ำความสำเร็จของตัวเองอีกที
‘เก่งมากเลยจ้ะน้องซี ทักษะภาษาอังกฤษดีขึ้นขนาดนี้...เห็นทีว่าการเป็นตัวแทน ฝ่ายประสานงานลูกค้าต่างประเทศ คงจะเป็นของน้องในไม่ช้านี้แหละ’ เสียงของหัวหน้างาน ที่เอ่ยชมเธอไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เตือนให้หญิงสาวได้รู้ว่า
ตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมา
เธอเป็นคนที่ดีขึ้นแค่ไหน และมีอะไรอีกมายเกี่ยวกับตัวเอง ที่เธอยังไม่ได้ทำมันให้เต็มที่
หึ...แล้วยังจะมีน่าไปอยากดูแลคนอื่นเต็มที่อีกเนอะ
คิดในใจได้ดังนั้น ก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ
มันคงจะไม่มีใครหายเป็นปลิดทิ้งได้เลย จากการเดินออกมาจากความสัมพันธ์หรอกมั้ง ความค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนี่แหละ ที่มันยั่งยืนและถาวรที่สุด
ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป เม้มเข้าหากันซ้ำๆ อีกครั้ง หลังจากที่ได้แต้มลิปสติกทั้งสามเฉดลงไป
การแต่งหน้า เสื้อผ้า เผ้าผม ของเธอดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการได้ใช้ชีวิตร่วมกับแก๊ง move on ที่เริ่มจะมีสมาชิกมากขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ทั้ง 5 สาว ก็ยังคงสนิทกันที่สุด ดังเดิม
Line Group
เสียงแจ้งเตือนจากกลุ่ม...ทำเอาคนที่แต่งตัวพร้อมออกจากห้องแล้วนั้น เหลือบไปมองเล็กน้อย ก่อนหยิบของจำเป็นใส่กระเป๋าเพิ่มเติม
Bussaba: ทุกคน...เย็นนี้ว่างกันเปล่า มีสวดมนต์เย็นที่วัดริมน้ำ ไปกันมั้ย มีสนทนาธรรมด้วยนะ
คุณครูสาวสายสวดมนต์ภาวนา เป็นคนส่งข้อความเข้ามาในกลุ่มนั่นเอง
Yong: โหยไม่เอาด้วยหรอก เมื่อวานก็เพิ่งจะไปกวาดวัดมา มีอีเวนท์อีกแล้วหรอ?
Kaew: คนบาปไม่ไป พี่ไปด้วยก็ได้ ขี้เกียจเช็กของสต็อกให้อาป๊าพอดี
Yong: แหม! คนบุญมากเลยนะคะ อกตัญญูเนี่ย!
คนนั่งอ่านข้อความของทุกคนที่ยังไม่ได้ตอบกลับส่ายหน้าเชิงไม่ได้ถือสา ในความเป็นไม้เบื่อไม้เมาของคนทั้งคู่
C: อยากไปด้วยมากเลย แต่ติดบรีฟงานกับหัวหน้า เพราะพรุ่งนี้จะต้องไปคุยกับลูกค้าแล้ว
Bussaba: โอเค ไม่เป็นไรจ้าซี งั้นตอนนี้มีพี่แก้วจะไปคนหนึ่งเนาะ ใครจะไปเพิ่มค่อยบอกมาอีกทีน้า
แล้วสุนทรีก็เก็บโทรศัพท์หย่อนลงกระเป๋า เตรียมตัวออกไปเตรียมข้อมูลสำหรับวันพรุ่งนี้ เธอทำงานเป็นฝ่ายประสานงานลูกค้าประจำบริษัทแห่งหนึ่ง
หน้าที่ของเธอคือการไปกับฝ่ายต่างๆ ในคราที่จะต้องมีการคุยปิดงานในโอกาสสำคัญ
ซึ่งโอกาสที่กำลังจะมาถึงนี้ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นครั้งแรกของบริษัท ที่จะได้มีลูกค้าเป็นบริษัทต่างชาติ ซึ่งแน่นอนว่า หากใครมีทักษะทางด้านภาษา โอกาสที่จะได้รับการเลื่อนขั้นหรือค่าภาษา ก็จะมีตามไปด้วย
‘สำคัญที่สุดของการสื่อสาร คือการฝึกฟังและพูด...ซึ่งการฝึกฟังที่สำคัญก็คือดูหนังซับอังกฤษ และการฝึกพูดก็คือการฝึกออกเสียงที่เน้นตัวสะกดท้ายสุด’
แล้วอยู่ๆ สุ้มเสียงทำนองทุ้ม ของใครบางคนที่คิดว่าลืมไปแล้วก็ดังแว่วมา
ตอนนั้นเธอบอกกับเขาว่า เธออยากจะมีทักษะด้านภาษาเพื่อให้โอกาสในการทำงานเติบโตขึ้น และคนที่ดูจริงจังกับทุกอย่าง มีความสามารถหลายด้านก็แนะนำมาแบบนั้น
แม้เขาจะทำเป็นเหมือนไม่สนใจ หรือเย็นชาแค่ไหน แต่เธอก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง จากการได้รู้จักกัน
ถ้าเป็นเรื่องงาน...ทักษะการพัฒนาตัวเอง รายนั้นพร้อมที่จะให้คำปรึกษาเต็มที่
“ช่างเถอะ จะไปคิดถึงอีกทำไม...พอ” รีบสั่งจิตใจและเดินออกจากห้องไปทันที
นี่สินะที่เขาเรียกว่าเหมือนจะดี...แต่ก็ไม่ทั้งหมด
แอบดีไง
“หูว เท่ห์สุดๆ ไปเลยอ่ะ...ร่อง 11 ขึ้นชัดมาก” ตันหยงผู้ไม่ยอมไปฟังสวดมนต์เย็นกับอีกสามคนในแก๊ง มายืนดูสุนทรีออกกำลังกายหลังกลับมาจากการคุยบรีฟงานกับหัวหน้า ซึ่งก็ปาไปเกือบจะสองทุ่มแล้ว
ปกติหญิงสาวจะออกกำลังกายทุกวันที่ฟิตเนสของคอนโด ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เพิ่งจะมาเช่าห้องอยู่ที่คอนโดเดียวกันอย่างตันหยง ก็รีบแจ้นมาหาทันทีเมื่อรู้ว่าเพื่อนคุยงานเสร็จแล้ว
“แล้วหยงอ่ะ ไม่เล่นบ้างเหรอ เห็นช่วงนี้ไม่ค่อยออกกำลังกายเลย” คนขี้เกียจรีบส่ายหน้า
“เอาจริงๆ เลยนะ สามเดือนที่ผ่านมาก็ดีขึ้นแล้ว ไม่คิดถึงแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นเหงาแทนอ่ะ...อยากจะมีแฟนแล้ว”
“อยากจะมีแฟน ก็เลยไม่ต้องออกกำลังกายก็ได้อย่างนั้นเหรอ?”
“มันก็ไม่เชิงอ่ะ ก็ที่ทำๆ มาก็แค่จะอยากลืมไง พอลืมได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม” คนที่เสียพลังไปกับการฟิตร่อง 11 ของตัวเอง ส่ายหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ผ่านมาสามเดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของการทำสิ่งต่างๆ เลยอย่างนั้นสินะ”
“แล้วซีคิดว่า อะไรคือจุดประสงค์จริงๆ ของมันอ่ะ?”
“เพื่อให้ลืมใครบางคนมันก็ใช่ แต่การได้กลับมารักตัวเองต่างหากที่ใช่กว่า ที่เราทำไปทั้งหมดก็เพื่อเรา...ทั้งการลืมเขาด้วย มันไม่ใช่เพื่อแค่ลืม แล้วก็กลับไปโหยหาความรัก กลับไปรู้สึกขาดและเติมเต็มตัวเองไม่ได้” ครานี้เป็นตันหยงเสียเองที่ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“ถามจริงนะ คิดว่าที่พูดมาเนี่ย...ทำได้จริงๆ แล้วเหรอ? ถ้าสมมติพรุ่งนี้เดินไปเจอหน้าเขา จะไม่รู้สึกอะไรเลยได้จริงๆ เหรอ?” แววตามุ่งมั่นสะดุดเล็กน้อย ก่อนมองนิ่งเชิงคิดตาม
“แล้วยังไงอ่ะ จะรู้สึกหรือไม่รู้สึก มันก็ไม่ได้จะเปลี่ยนอะไร เพราะเราเลือกที่จะเดินออกมาแล้วอย่างสมบูรณ์ เขาไม่ได้มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตด้านใดๆ ของเราอีกต่อไปแล้ว”
“แน่ใจ?” รายนั้นย้ำเข้า อย่างมั่นใจว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“ตราบใดที่เรายังรู้สึก เขาก็ยังมีอิทธิพลเสมอนั่นแหละ”
“แต่มันจะเป็นการมีอิทธิพลที่เราควบคุมได้ไง” ตันหยงส่ายหน้ารัวเร็วเชิงสู้
“การ move on ที่ดีที่สุดคือการมีใหม่...ต่อให้เราจะทำกิจกรรมให้ตายต่อไปอีกสามเดือนข้างหน้า เราก็ไม่มีวันที่จะ move ได้หรอก ถ้าเรายังไม่มีคนใหม่น่ะ”
สุนทรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้ง
“เออก็แล้วแต่แกเลยละกัน”
แต่แล้วคำพูดของคนที่ดูเหมือนจะผิดคอนเซปต์ของแก๊ง move on มาตลอด ก็ย้อนเข้ามาในหัว...ในขณะที่หญิงสาวล้มตัว หัวถึงหมอนด้วยความอ่อนล้า
‘การ move on ที่ดีที่สุดคือการมีคนใหม่...’
สุนทรีไม่เถียงเลยสักนิดว่า คำกล่าวนี้มันดูจะไม่ผิด
มันก็ใช่ เพราะเอาเข้าจริงๆ ลึกๆ เธอก็ยังมีแอบคิดถึงบ้าง แต่เธอก็เชื่อไง ว่าสักวัน...เธอจะต้องไม่คิดถึงแล้ว ลืมเลือนไปได้ ตามกาลเวลาที่ได้ผ่านเลยไป
สายตาเหลือบไปมองหน้าจอโทรศัพท์ นึกถึงตอนที่ตัวเองตัดสินใจ block เขาไปเรียบร้อย และไม่ทราบเลยว่าเขาได้ติดต่อมาบ้างหรือไม่
คงไม่
เธอเชื่อแบบนั้น
“อย่าว่าแต่ทักมาเลย ทักไป ก็กว่าจะตอบได้ บางทีก็ไม่ตอบเลย” เธอไม่อยากไปอยู่กับความรู้สึกที่จะต้องรอใคร ทั้งวี่ทั้งวัน งานการก็ไม่พัฒนา
มันคิดถึงแหละเธอยอมรับ แต่ถ้าจะให้กลับไป...แล้วทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม เธอก็เองก็ไม่ได้มีความสุข
ถ้าทุกอย่างที่ทำให้มันไม่เคยจะมีค่า แล้วเธอจะไปอยู่ตรงนั้นเพื่ออะไร!
แล้วน้ำตาที่ไม่เคยจะไหลมาตลอดสามเดือน...ก็พรั่งพรูออกมา
บ้าจริง...
เรียวนิ้วรู้งาน รีบปาดน้ำใสพวกนั้นทันใด พยายามขับไล่ความกล้ำกลืนที่คิดว่าตัวเองขจัดมันออกไปได้หมดแล้ว
ไม่โกรธ ไม่เกลียด ให้อภัย...
“หรือว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่หยงพูดมันจะถูกทั้งหมดกันนะ” แล้วเธอก็จินตนาการไปถึงความรู้สึกที่จะต้องเจอหน้าเขา อีกครั้งขึ้นมา
“ไม่หรอก จะไปเจอได้ยังไง” ว่าอย่างมั่นใจ พร้อมเปิดไฟหัวเตียงจนสว่างโร่
เดินลงจากเตียงไปเปิดลิ้นชัก ที่มีไพ่สำรับสำคัญที่ไม่ได้เปิดมาใช้บริการอีกเลย ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมานี้
“ถามดูอีกทีดีไหมนะ...” แม้จะลังเลแต่มือก็ได้ทำการสับไพ่ไปแล้วเรียบร้อย
“ขอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราต่อจากนี้ ในเรื่องของการงาน การเงินและความรัก โดยเฉพาะความรัก อยากจะรู้ว่าจะได้เจอกันอีกไหม?”
สับไพ่เรียบร้อย ก็ทำการวางและตัดด้วยมือซ้าย
หลับตาสูดลมหายใจ กรีดไพ่ออกเป็นครึ่งวงกลม
มือซ้ายเลือกจับไพ่ออกมา 10 ใบ ด้วยทีท่าสงบ ไม่ฟุ้งซ่านหรือคิดถึงสิ่งอื่นใด เพื่อให้พลังงานในตัวเองสื่อออกไปได้อย่างเต็มที่
และพอเปิดเรียงไพ่ออกมา ก็เต็มไปด้วยการงานและการกลับมาของใครบางคน
“หือ...” เธอค่อยๆ เปิดต่อไปจนครบทั้งสิบใบ แล้วไพ่ก็ยังคงยืนยันว่านี่คือพรหมลิขิต และคู่แท้
“อีกแล้วเหรอเนี่ย” ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจ แต่ถ้าเธอได้เจอกับเขาเร็วๆ นี้ สามเดือนที่ผ่านมาก็ดูไร้ค่าไปเลยสิ
“ไม่หรอก ไม่ว่าจะเจอหรือไม่เจอ...มันก็ขึ้นอยู่กับเรานี่แหละ พรหมลิขิตจะมาสู้ผมลิขิตได้ยังไง” ว่าพร้อมรวบไพ่กลับรวมกันเข้ามา ยัดลงในกล่องด้วยการใช้ความรุนแรงเล็กน้อย
โดยที่เจ้าตัวไม่ทราบเลยว่า การกระทำเช่นนั้นจะส่งผลต่อโชคชะตาของตัวเองเช่นไร
หึหึ
