บท
ตั้งค่า

2 The Emperor

“ตอนนี้สินค้าของพี่ขายไม่ได้เลยสักชิ้น นิ่งมาร่วมสามเดือน ไม่ยอมขยับเขยื้อน พี่อยากจะรู้ค่ะว่าพี่จะต้องทำยังไง ทั้งเรื่องการผลิต การตลาด การเงิน พี่อยากรู้ทั้งหมดเลยค่ะ” สาวใหญ่วัยสี่สิบปลาย ว่าอย่างเดือดร้อนใจ อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้กำลังนั่งฟัง แต่จดทุกคำพูดที่หล่อนพูดลงไปในกระดาษด้วยทีท่านิ่งขรึม

ก่อนคลิกเมาส์สองสามที บนหน้าจอโน้ตบุ๊คสีดำที่เปิดตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานกระจกสีดำเข้มเงาวับ เข้าชุดกันไปหมดทั้งห้อง

“ดูจากรีวิวคุณภาพสินค้าคร่าวๆ...”

“ค่อนข้างแย่เอาการเลยนะครับ” คนที่มีฐานข้อมูลในมือ จากการแอบรวบรวมมาจากช่องทางในการขายต่างๆ ของสินค้า พยักหน้าอย่างพอจะเดาได้

“การรีวิวอะไรนั่น ก็มีแต่คนมาปั่น ไม่จริงหรอกค่ะ มันแกล้งพี่เฉยๆ” ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอีกครั้ง ปรายสายตามองผู้หญิงตรงหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

เข้าใจว่าทำไมสินค้าถึงขายไม่ได้สักชิ้นในปัจจุบัน

“แล้วฐานการผลิตได้มีการตรวจสอบคุณภาพยืนยันไปครั้งล่าสุดไปเมื่อไหร่ครับ” คนฟังสะดุดเล็กน้อย สายตาหลุบมองลงต่ำ

“ต้องทำด้วยเหรอคะ?” แววตาคมกริบปรายสายตากลับมา แต่ก็ยังคงนิ่งดังเก่า

ก่อนกดแป้นพิมพ์ลงไปอย่างรวดเร็วหนึ่งครั้ง

“แล้วก่อนที่จะขายสินค้า คุณมีการทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ยังไงเหรอครับ?”

“อันนี้พี่ก็ยกให้ลูกน้องทำหมดเลย”

“ครับ แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบสิ่งที่ตรวจสอบมาแล้วนั้นอีกครั้ง ไม่จริงหรือครับ” คนที่รู้ว่าตัวเองละเลยตรงส่วนนี้ ชักสีหน้าเชิงไม่พอใจ

“คือพี่มาจ้างให้เราทำงานให้นะ ไม่ใช่มาบ่นหรือว่าสอน จะเอาไหมงานน่ะ?” ชายหนุ่มเหลือบสายตาขึ้น จ้องไปยังคนตรงหน้าด้วยประกายที่มืดดำลง

“นั่นสิครับ จะเอาไหมงาน?”

“เอ๊ะ นี่เธอยอกย้อนพี่เหรอ!” ชายหนุ่มส่ายหน้า

“ผมไม่ได้อยากทำงานให้คุณไปตลอดชีวิตหรอกนะครับ แต่อยากช่วยแค่ครั้งเดียว แต่เหมือนได้ช่วยตลอดไป เพราะงานของผมคือที่ปรึกษา ไม่ใช่นักแก้ปัญหา...ผมมีแนวทางให้ คุณไปทำเองและรายงานผลกลับมา ทุกขั้นที่เราได้ตกลง ผมจะคอยเคียงข้างเสมอ” เขาอธิบายย้ำอีกครั้ง เชิงไม่แน่ใจว่าเลขาได้ประสานงานกับลูกค้าท่านนี้มาเช่นไร

มันไม่แปลกหรอก ลูกค้าประเภทนี้มีเกลื่อนเมือง เขายินดีที่จะอธิบายอีกครั้ง ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งเขาก็ยังยินดี

เพราะถ้าลูกค้าไม่เป็นแบบนี้ ก็คงจะไม่มีเขาในวันนี้เช่นเดียวกัน

“แต่ฉันต้องการคนแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่ที่ปรึกษา”

“งั้นเชิญป้ายหน้าเลยนะครับ ผมให้ได้แค่นี้จริงๆ” สาวใหญ่วัยสี่สิบปลาย เชิดใบหน้าขึ้นเชิงฮึดฮัด แต่ก็ไม่เลือกที่จะเดินออกไป

เพราะรู้ดีว่า ผู้ชายตรงหน้าเก่งแค่ไหน

เขามีความสามารถในการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ ที่บริษัทใหญ่ๆ หลายที่ยังมาใช้บริการเขาแบบเฉพาะหน้า เพราะรายนี้ไม่เคยยอมที่จะไปเป็นที่ปรึกษาประจำของใคร

เขายังชอบความหลากหลายและเป็นตัวของตัวเองแบบเอกเทศ

“ก็ได้...เอาตามที่เธอว่าก็ได้ แต่ฉันขอตามเลขามาก่อนนะ”

“ไม่ได้ครับ ขั้นแรก คุณจะต้องลองฟังมันด้วยตัวเองก่อน อย่าไว้ใจใครขนาดนั้น ไม่มีธุรกิจไหนที่จะเติบโตได้ เพียงแค่ทิ้งเงินไว้ จ้างคนอื่นบริหารและเราตรวจสอบไม่ได้เลย” คนอ้าปากจะเถียงหุบฉับลงเชิงขบคิดคำมาแก้

“แต่ก็มีนักธุรกิจหลายคนทำแบบนั้น หว่านเงินและให้ลูกน้องทำแทนกันทั้งนั้น เขาก็รวยเอารวยเอากันนี่”

“นั่นไม่จริงทั้งหมดหรอกครับ เขาทำแบบนั้นจริง แต่เขามีความรู้ในทั้งหมดที่เขาหว่านไป เขาตรวจสอบเป็น บริหารจัดการอยู่เบื้องหลังเป็น...นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด ที่คุณจะต้องมี”

“ก็ได้...ว่ามาละกัน”

แล้ว ภาสกร ศิริสัมพันธ์ ก็ทำการสรุปขมวดคร่าวๆ และอธิบายถึงเบื้องต้นที่ควรรู้เกี่ยวกับธุรกิจประเภทนี้ของเธอด้วยความใจเย็น แต่ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงได้

นู่นแหละ...ถึงได้ค่อยๆ เจาะลึกเกี่ยวกับรายละเอียดของสินค้า เพื่อดูถึงปัญหาที่แท้จริง จนล่วงเลยเวลาไปถึง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งการเข้ามาปรึกษาแค่นี้ก็หมดเงินไปหลายหมื่นพอสมควร

“อาหารมาแล้วค่ะ” เลขาหน้าห้องที่สั่งอาหารเดลิเวอรี่มาให้เขาเป็นประจำเอ่ยพร้อม เคาะประตูก้าวเข้ามา

“ขอบคุณครับ” เขาว่าอย่างเนือยๆ ขณะเอนหลังหลับตาไปกับพนักเก้าอี้ตัวใหญ่

“ไหวมั้ยคะคุณพุธ?” เลขาสาววัยเลขสามต้นๆ ที่ถือว่ารุ่นราวคราวเดียวกัน แต่อ่อนกว่าเล็กน้อยนั่น ถามเชิงห่วงใยแต่ก็ติดไปเชิงไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่า นี่แหละคือปกติของคนอย่างเขา

“อืม” พอปิดโหมดทำงานลง โหมดพักผ่อนก็ได้เคลื่อนเข้ามาแทนที่ และพอมันเคลื่อนเข้ามาแล้ว...เขาก็จะปากหนักไม่ชอบพูดชอบจาไปในทันที

“รีบทานนะคะ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน” ทิ้งท้ายก่อนเดินลงส้นสูงขนาดนิ้วครึ่งออกไป ปล่อยให้ผู้เป็นเจ้านายได้พักผ่อนลำพัง ก่อนเริ่มงานต่ออีกในช่วงบ่าย

Talk Think and develop.Company ตั้งอยู่บนตึก 30 ชั้น ใจกลางเมือง ซึ่งเขาได้เหมาเช่าทั้งชั้น...ของชั้น 25 เอาไว้ เพื่อให้ลูกน้องนับ 10 กว่าชีวิต ได้นั่งทำงานกัน

ที่ไม่ได้เป็นทางการมาก ขอแค่ได้งานส่งตามกำหนด

เปลือกตาปิดสนิท ที่มีขนตางอนยาวล้อมกรอบอยู่นั้นค่อยๆ ลืมขึ้น เหลือบไปมองนาฬิกาแขวนเรือนใหญ่บนผนังเหนือประตูทางเข้า-ออก

ก็พบว่าตัวเองน่าจะมีเวลาไม่มาก ก็เลยขยับกายลุกขึ้น

จานอาหารที่มีฝาครอบ วางอยู่เคียงข้างกับแก้วน้ำส้มคั้น และขวดน้ำดื่มเย็นๆ อีกหนึ่งขวด ทั้งหมดตั้งอยู่บนโต๊ะกระจกสีดำทึบของเขา สะท้อนเป็นเงาที่พอมองไปแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายอยู่มาก

แวบหนึ่ง...ทำให้เขาเกิดนึกถึง

‘ทานเยอะๆ นะคะ ตั้งใจทำมาอย่างสุดฝีมือเลย’ หญิงสาวยิ้มกว้าง ที่มักมีความสดใสติดมากับฟันขาวสะอาด ที่ฉีกยิ้มจนสุดอย่างจริงใจ ทำให้เขาต้องเหลือบไปมองโทรศัพท์

“เออ หายไปหลายวันแล้ว” เขาพึมพำเล็กน้อย ก่อนเปิดข้อความขึ้นมาดู ก็พบว่าไม่มีแม้แต่ข้อความใดๆ ส่งมา

ไม่มีแม้ร่องรอยการ ‘ยกเลิกข้อความแล้ว’ ที่มักจะเห็นอยู่บ่อยๆ

“ปกติก็ทักมาตลอด...” เขาว่าพลางคิดทบทวนว่าตัวเองควรจะทักไปก่อนดีไหม

“ไม่ เราไม่เคยทักใครก่อน” ว่าพร้อมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงไปกับโต๊ะ หญิงสาวไม่เคยมาที่นี่ แต่มักจะนัดเจอกับเขาที่ร้านกาแฟหรือร้านนั่งทำงานร้านหนึ่ง แล้วก็ทำอาหารพกติดตัวมาด้วย

และอาหารที่ว่านั่น ก็มีหน้าตาเหมือนอาหารที่ใส่จานมาให้เห็นอยู่ตอนนี้

‘บะหมี่แห้งหมูแดง เกี๊ยวนุ่มพิเศษ’

นี่คือเมนูประจำที่เขารับประทานแบบซ้ำๆ เดิมๆ ไม่เคยจะเปลี่ยน เดี๋ยวตอนเย็นก็เป็นซุปเกี๊ยวนุ่มรสละมุน รับประทานกับนมจืดเย็นๆ สักแก้ว ก็พอ

แต่ดีหน่อยที่เขาชอบผักกวางตุ้ง ก็เลยรับประทานได้เยอะหน่อย ในคราที่ร่างกายก็ต้องการผักบ้างเหมือนกัน

‘หมูนุ่มไหมคะ?’ คำถามของเธอผุดขึ้นมา ในคราที่เขาตักหมูแดงเข้าปาก และเคี้ยวตุ้ยๆ

“ของเธอทำนุ่มกว่า” เขาพูดออกมาแบบไม่ทันได้ยั้งคิด

“แต่ก็กินได้เหมือนกัน” ด้วยความที่ชอบความจำเจก็จริง แต่ก็ไม่ชอบการยึดติด เขาทานง่ายอยู่ง่าย ไม่อยากผูกตัวเองไว้กับอะไร นอกจากงานเท่านั้น

ว่าแล้วก็จัดการอาหารตรงหน้าให้หมดภายในไม่กี่นาที ตามประสาคนเร่งรีบ และลืมเลือนเรื่องเธอไปจนหมดสิ้น เมื่อมีงานรออยู่อีกมากโข

“ไงพวก ได้ข่าวช่วงนี้ ไม่ออกไปไหนเลย คิวลูกค้ากี่หางว่าวแล้ววะ?” คนที่เสียงนำตัวอย่างอัครวิน นาวะโสธร เอ่ยอย่างเริงร่า ทักทายเพื่อนรักตามแบบฉบับ คนไม่ได้ทำงานทำการอะไร

“อือ” คำเดียวกับการชำเลืองนิดหน่อย นั่นคือสิ่งประจำที่ได้รับมาเสมอ หากเสล่อเข้ามาหาเพื่อนในเวลาบ่ายๆ ที่เพื่อนไม่ได้จิบชาเช่นนี้

“เย็นชาสักแก้วก็แล้วกันครับ” เขาเปิดประตูโผล่หน้าออกไปตอบคำถามเลขาสาวสวย ที่ยิ้มอย่างรู้ดีว่าแขกผู้มาเยือน เจอกับอะไรมา

“แค่นั้น ยังไม่พออีกเหรอคะ คิคิ” เอ่ยแซวกันเล็กน้อย ก่อนหลบไปเตรียมมาให้

“แหม่ รู้ว่าเวลาทำงาน แต่ก็ไม่มีลูกค้านี่หว่า ฉันโทรมาเช็กก่อนแล้ว ถึงได้ตรงดิ่งมาหาเนี่ย” ว่าแล้วก็ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับลูกค้า อย่างถือวิสาสะ

“ว่า” คนปากหนักก็ยังคงพูดออกมาได้คำเดียว แถมยังมองแต่หน้าจอ ไม่ได้มองหน้าผู้มาเยือนเลยสักนิด

“เป็นไงกับน้องคนนั้น เวิร์คป่ะ?” แววตามุ่งมั่นกับงานสะดุดเล็กน้อย

“น้องไหน”

“อ้าว! ไมพูดแมวๆ แบบนี้ว่ะ ชีวิตมึงก็มีผู้หญิงคนเดียวนี่แหละ นานๆ ถึงจะผ่านเข้ามาที ไม่นับพวกที่อยากจะเกาะแกะแล้วแกก็ไม่เคยสนใจน่ะ” คนที่ลุ้นมาเสมอว่าเพื่อนจะลงเอยกับใครได้จริงจังสักทีหรือไม่ โอดครวญขึ้น เพราะมันไม่ได้มีกันบ่อยๆ ที่ภาสกรจะยอมเปิดใจคุยกับใคร

“อ๋อ คนที่มึงยัดเยียดให้กูคุยน่ะเหรอ”

“อ้าว ไหงมาโทษกันอย่างนั้นวะ ถ้าไม่ชอบเขาแล้วจะไปคุยกับเขาทำไม” นั่นสิ ประโยคนี้ทำเอาคนฟังไปไม่เป็นไปพักใหญ่

“ทีแรกก็ดูน่าสนใจ แต่พอคุยๆ ไป ก็รู้สึกไม่อยากจะคุยเท่าไหร่” พูดไปอย่างนั้น ตามประสาคนที่ไม่ชอบเผยความรู้สึกของตัวเองให้ใครรู้ง่ายๆ

“คือหมายความว่า แกบอกเลิกน้องเขาแล้วเหรอวะ?” ภาสกรส่ายหน้า

“ไม่ได้อยากจะเลิก แค่อยากจะคุยน้อยลง” จริงๆ เขาอยากจะบอกว่า ฝ่ายนั้นต่างหากที่ทักหาเขาน้อยลง ราวกับว่าไม่อยากจะคุยด้วยเหมือนเมื่อก่อน

“ฮะ? มันได้เหรอวะ แล้วน้องเขาโอเคเหรอ?” ภาพสีหน้ากระวนกระวายของเธอ ที่โทรเข้ามาในวันที่เขาหายไปวันสองวัน ผุดขึ้นมาในสมอง

“ไม่รู้ว่ะ”

“อ้าวอีกครั้ง! แล้วทำยังไง เคลียร์กันยังไง?” เขาเลือกที่จะส่ายหน้า

“เขาไม่ทักมาหลายวันแล้ว”

“แล้วแกทำไง ก็ไม่ทักไปเหมือนกัน?”

“อือ ช่วงนี้ยุ่งๆ ด้วย” อัครวินเอามือกุมขมับ ถอนหายใจเชิงหมดอาลัยตายอยาก

“ให้ตายเถอะคุณพระ แกมาๆ หายๆ แบบนี้กับเขามาสักพักใหญ่แล้วใช่ปะ?” แววตามั่นคงแอบสะดุด...

“อืม”

“เขาคงตัดสินใจที่จะถอยแล้วล่ะ ถึงไม่ได้ทักมา” แววตาคมที่ดูเรียบเรื่อย แอบกระตุกอีกครั้ง ก่อนรีบกลบเกลื่อน

“เพราะว่าผู้หญิงเนี่ย เวลาเขาเริ่มเงียบ ไม่ตาม ไม่ถาม ไม่สนใจ คือเขากำลังจะไปจริงๆ”

“อือ”

“โห นี่ไม่มีเยื่อใยอะไรให้เขาเลยเหรอวะ แรกๆ ก็มีความสุขดีไม่ใช่เหรอ?” โอดขึ้นอย่างเสียดาย เพราะผู้หญิงคนนั้นทั้งสวยและเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง

เขาคิดว่าเพื่อนคงจะได้เจอคนที่คู่ควรจริงๆ สักทีแล้วซะอีก!

“ก็ยอมรับว่าดี แต่ถ้าไม่เข้าใจกัน...จะฝืนไปต่อเพื่ออะไร”

“ที่พูดว่าไม่เข้าใจกันเนี่ย ได้อธิบายอะไรกันบ้างยัง...ได้เคลียร์ใจกันบ้างยัง” ชายหนุ่มส่ายหน้าเชิงคิดว่าไม่จำเป็นเลยสักนิด

“เขาก็น่าจะรู้ว่าฉันทำงาน และเขาเองก็ทำงาน เป็นแฟนกันจำเป็นต้องตัวติดกันด้วยเหรอวะ?”

“มันก็ไม่เชิงว่าจะต้องตัวติดกัน แต่มันก็ควรจะบอกกันว่าทำอะไรอยู่ ไม่ว่างก็บอกไม่ว่าง แค่คำไม่กี่คำ มันยากเหรอวะ ทำไมต้องเงียบด้วย” ภาสกรส่ายหน้า

“แกก็รู้ว่าฉันใช้ชีวิตของฉันอย่างนี้มาตั้งนาน ทีแรกเขาก็ทนได้ แต่พอนานๆ ไป เขากลับอยากจะได้มากขึ้น แล้วพอไม่ได้ก็ไป มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“เฮ้ย คือรู้ว่าใช้ชีวิตยังไงมาตั้งนาน แต่แรกๆ แกก็บอกเขาตลอดไม่ใช่เหรอวะ” ภาสกรพยักหน้า

“เพราะมันเพิ่งเริ่มรู้จักกันไง ตอนนี้เขาก็รู้หมดแล้ว ว่าฉันเป็นยังไง เขาแค่ไม่เข้าใจเอง”

“โอเค งั้นมึงก็โสดต่อไปเลยนะเพื่อน” ภาสกรเลือกที่จะไม่ต่อไต่ และสนใจแค่งานตรงหน้า ใครจะเป็นยังไงเขาไม่สนใจแล้ว ขอแค่งานเดินไปตามปกติก็พอ

แม้ในส่วนลึกของหัวใจ ยังมีความรู้สึกหนึ่งที่เขาไม่ได้ลืมมันไปแล้วจริงๆ ซะทีเดียว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel