ตอนที่ 4 บทที่ 3
ศศินทร์มาถึงด้วยเวลาไม่นาน ในอ้อมแขนหอบแฟ้มเอกสารที่ต้องเซ็นมาให้หอบใหญ่ ใต้ตายังคล้ำเป็นหมีแพนด้าเหมือนเดิม
“กินข้าวมาแล้วหรือยังคะ”
ณิชาไปปรับถึงรถ ช่วยถือแฟ้มเอกสาร
“ผมได้กินกาแฟกระป๋องไปกระป๋องเดียวเองครับ”
สุดยอดเลขาส่งยิ้มจืดเจื่อนน่าสงสาร
“เดี๋ยวฉันทำแซนด์วิชไปให้นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ศศินทร์เสียงเครือ คนที่ยังเป็นห่วงเขาหลังจากประสบภัยงานถล่มทับหลังเจ้านายวิวาห์ล่มมีเพียงณิชาคนเดียว
“ข้าวกลางวันอยากกินอะไรไหมคะ เดี๋ยวทำให้”
เธอคาดว่างานคงลากยาวแน่
“อะไรก็ได้ครับ”
ศศินทร์จะร้องไห้อยู่แล้ว เธอดูแลเขาดีเทียบเท่าแม่
“งั้นเดี๋ยวทำราดหน้าหมูนุ่มให้กินนะ”
นึกถึงอาหารเส้นร้อน ๆ คะน้ากรอบ ๆ หนุ่มเลขาก็น้ำลายย้อย แต่ต้องรีบเช็ดก่อน เมื่อมาถึงประตูห้องทำงานเจ้านาย
ศศินทร์สูดมหายใจลึก ในหัวกำลังเล่นเพลงร็อก
Highway to hell ของ AC/DC
มือผลักประตูเข้าไปพร้อมส่งรอยยิ้มที่บรรจงให้สดใสสุดชีวิต
“สวัสดีครับคุณเหนือ”
ณิชาทำแซนด์วิชสลัดผักใส่ไข่ดาวชิ้นโต ๆ แถมน้ำส้มแก้วใหญ่ให้ศศินทร์ สงสารเลขาที่ต้องมารับภาระงานแทนเจ้านาย
อวัชเคยดีกว่านี้ เขาเคยสง่า เย่อหยิ่ง เหมือนดวงดาวที่เธอเอื้อมไม่ถึง เหมือนอยู่คนละโลกกับเธอ
แต่กระนั้นสิ่งที่เรียกว่าความรักก็ไม่ปรานี ก่อเกิดห้อมล้อม จนเธอหลงวังวนตกหลุมรักเขา เธอให้คำตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่ารักเพราะอะไร
วันแรกที่เจอกันแม่พาเธอร่อนเร่จนมาเป็นลมที่หน้าประตูบ้าน สุดถนอมที่ออกมาใส่บาตรสงสารจึงให้คนพาไปพัก
สอบถามความได้เรื่องว่าพวกเธอมาจากภาคตะวันออก เคยอาศัยอยู่หมู่บ้านริมทะเล พ่อที่เป็นชาวประมงออกเรือไปแล้วเจออุบัติเหตุหายไปในทะเล หาศพไม่เจอ บ้านที่อยู่ก็อยู่บนที่ดินนายทุนไล่ที่
ในเมื่อไม่มีงาน ไม่มีเงิน แม่จึงพาเธอที่อายุเพียงสี่ขวบมาตายดาบหน้าหางานทำในเมืองหลวง
แม่ความรู้น้อยจึงได้ทำเพียงงานกรรมกร พักอยู่เพิงสังกะสีในแคมป์คนงาน ด้วยแม่ยังสาวยังสวย แม้จะอมโรคไปสักนิด สามีนายจ้างจึงมาขายขนมจีบ หนักเข้าจะมาลวนลาม
พาเธอหนีตายมาตอนดึก ข้าวของแทบไม่มีติดตัว เดินร่อนเร่ อดอยากจนมาเป็นลมที่หน้าบ้านสุดถนอม
เจ้าบ้านสงสารจึงให้งานทำ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ณิชาได้เจอกับอวัช
“สกปรก นิ้วดำ มาจับกุหลาบฉันได้ยังไง”
เด็กชายผิวขาวจั๊วะวัยเจ็ดขวบดุเด็กหญิงผอมเกร็งที่นิ้วแตะไล้กลีบกุหลาบสีแดงสดในสวน
ณิชามองเขาด้วยตาหวั่น ๆ กลัวโดนดุ เพราะเคยไปจับของในไซต์ก่อสร้างแล้วโดนว่าเสียงดัง แม่ต้องไหว้ประหลก ๆ ตั้งนานกว่าอีกคนจะยกโทษให้
“ขอโทษค่ะ”
เด็กหญิงเสียงอ่อย หลุบตามองพื้น ตัวสั่น เธอกับแม่เพิ่งจะได้ที่ซุกหัวนอน จะต้องโดนไล่กลับไปอยู่ข้างถนนอีกนะหรือ
“เธอเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้า คนรับใช้ใหม่เหรอ”
“ค่ะ หนูชื่อแอ้ม มากับแม่”
อวัชพยักหน้าเข้าใจ
“สวนนี้เป็นสวนของฉัน ถ้าฉันไม่อนุญาตห้ามแตะต้องอะไรทั้งนั้น”
จริง ๆ แล้วคือสวนของมารดา แต่ท่านเสียไปแล้ว เขาที่เป็นลูกก็ต้องเป็นเจ้าของต่อสิ
“หนูขอโทษค่ะ เห็นกุหลาบในสวนซ้วย...สวย ดอกใหญ่ด้วย เหมือนหนังฝรั่ง”
“ใช่สิ มันเป็นพันธุ์มาจากเมืองนอกนั่นแหละ”
อวัชกอดอกโอ่ จมูกเชิดอย่างภูมิใจ
“นอกจากสีแดงยังมีสีชมพูด้วยนะ เคยเห็นไหม”
“ว๊าว!”
ณิชาตาโต กุหลาบชมพูนั้นเคยไกล ๆ ด้วยมองจากกระจกร้านหรู ๆ เข้าไป แต่ดอกพวกนั้นไม่ใหญ่เท่าเจ้ากุหลาบแดงในสวนนี้หรอกกระมัง
“เข้ามาดูสิ ฉันอนุญาต” อวัชใจดี เพราะมองอีกคนด้อยกว่า
สวนกุหลาบในบ้านหลังนี้เป็นสวนแรกในชีวิตที่ณิชาได้เข้าไปเยือน นอกจากจะสวยแล้วดอกไม้ยังมีกลิ่นหอม
“ถ้าเธอทำตัวดี ฉันจะให้เป็นคนสวนคอยดูแลกุหลาบ”
“ขอบคุณค่ะ”
เด็กน้อยพูดราวละเมอ เหมือนฝันที่ได้มาอยู่ในสวนอันสวยงามแห่งนี้
“แต่ก่อนอื่นไปตัดเล็บ ตัดผม ทำตัวให้สะอาด ๆ เลย ฉันกลัวกุหลาบสกปรกตามเธอไปด้วย”
ณิชาพยักหน้าใสซื่อ ไม่ได้คิดเลยว่ากำลังถูกว่าอยู่
“อ๊ะ...ดอกนี้เหี่ยวแล้วนี่”
อวัชย่นจมูกรังเกียจกุหลาบคอหักที่ดอกเหี่ยวสีดำคล้ำ มือหักเจ้าดอกไม้น่าสงสารเตรียมจะขว้างทิ้ง
“หนูขอได้ไหม”
ตาโตเป็นประกาย คิ้วเรียวราวดาบขมวดมุ่น
“มันยังสวยอยู่ กลิ่นน่าจะยังหอม อยากเอาไปไว้บนหมอนค่ะ ตอนอยู่บ้านแม่ชอบเอามะลิมาวางไว้หมอน บอกจะว่าทำให้ฝันดี”
อวัชไม่เชื่อเรื่องหลอกเด็กแบบนี้หรอก แต่เห็นอีกคนส่งสายตาอยากได้มากจึงยอมให้ ณิชาประคองกุหลาบเหี่ยวอย่างทะนุถนอม
“ถ้าเธอดูแลกุหลาบดี ฉันอนุญาตให้เก็บกุหลาบเหี่ยวกลับไปได้”
เด็กชายชอบใจที่เห็นณิชายิ้มร่า ...เขาคิดว่าดูหน้าโง่ดี
“ขอบคุณค่ะ”
...แล้วมิตรภาพระหว่างหลานชายเจ้าของบ้านกับคนรับใช้ก็เริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น
