บทที่ 3
ขณะที่ทรรศิกาเดินอย่างคนหมดแรงออกมาจากสำนักงานทนายสุชาติ เธอตัดสินใจกลับบ้านเพื่อไปหาต้นตอของปัญหา และหวังไปเจรจาสงบศึกกับคุณหญิงทิพย์มณี ขณะที่กำลังเดินไปเรียกแท็กซี่ ก็มาพบกับนับดาวซึ่งออกมาซื้อของ
นับดาวเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยม แม้จะมีฐานะปานกลาง แต่ด้วยเป็นเด็กฉลาดทำให้สามารถสอบได้ทุนเรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงระดับต้น ๆ ของเมืองไทย ทรรศิกาก็ได้เพื่อนอย่างนับดาวนี่ล่ะที่คอยให้การช่วยเหลือเธอในเรื่องการเรียนซึ่งเธอไม่เคยลืม
แต่หลังจากเรียนจบทรรศิกาก็ไปเรียนต่อเมืองนอก จึงขาดการติดต่อกันไปโดยปริยาย
เมื่อมีโอกาสได้กลับมาพบกันโดยบังเอิญอีกครั้งทำให้เธอดีใจมาก
“นั่นเธอใช่ไหมนับดาว”
“เทย่า” นับดาวเรียกชื่อเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ใช่ดาวจริงๆ ด้วย ดีใจจังเลยที่มีโอกาสได้พบดาวอีกครั้ง เราไม่ได้พบกันนานกี่ปีแล้วนะ”
“ก็ตั้งแต่พวกเราจบจากโรงเรียน”
ทรรศิกาชวนนับดาวไปนั่งคุยกันต่อในร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น นับดาวมีอาการลังเลในตอนแรกแต่สุดท้ายก็ยอมตามไปแต่โดยดี เธอเองก็คิดถึงและอยากคุยกับเพื่อนรักคนนี้เหมือนกัน
การได้กลับมาพบนับดาวในครั้งนี้ทำให้ทรรศิการู้ว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่มิตรภาพของเธอและนับดาวก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทรรศิกายังคงจำได้ไม่ลืมถึงความมีน้ำใจของนับดาวที่คอยช่วยเหลือเธอเรื่องเรียน และมักจะคอยเตือนสติเวลาที่เธอเกเรออกนอกลู่นอกทาง ในเวลานั้นทรรศิกาสัมผัสได้ถึงความจริงใจของนับดาว และรับรู้ได้ว่าเพื่อนคนนี้รักและหวังดีกับเธอจริง ๆ ไม่ได้ใส่หน้ากากคบกันเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ
การที่จะหาเพื่อนที่รักและหวังดีกับเธอด้วยใจจริงอย่างนับดาว สำหรับทรรศิกาแล้วนับว่าหาได้ยากเต็มที เพราะเพื่อนที่เข้ามาคบหาเธอโดยส่วนใหญ่ก็มักจะหวังผลตอบแทนจากเธอแทบทั้งสิ้น
ทรรศิกาจึงรู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้กลับมาพบกับเพื่อนรักของตนเองอีกครั้ง
“ดาวยังพักอยู่ที่เดิมหรือเปล่า”
“ก็ยังอยู่ที่เดิม”
“แล้วตอนนี้ดาวทำงานอะไร” ทรรศิกาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนรัก
“ดาวสอนหนังสือ” นับดาวบอกชื่อสถาบันต้นสังกัดของตนเอง ซึ่งเป็นโรงเรียนดังที่ทุกคนอยากเรียน
“ยินดีด้วยนะ สุดท้ายดาวก็ทำได้ตามที่เคยใฝ่ฝันไว้ เทย่ายังจำได้ไม่ลืมดาวเคยบอกว่าดาวอยากเป็นครู และดาวก็ทำได้จริงๆ”
“อย่ามัวแต่พูดเรื่องของดาวอยู่เลย มาพูดเรื่องของเทย่าดีกว่า เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ตอนนี้เทย่าทำงานอะไร”
ทรรศิกาหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น เพราะจนป่านนี้เธอก็ยังไม่ได้ทำงานทำการอะไร
“เทย่ายังไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอกดาว เพราะจนป่านนี้เทย่าเองก็ยังค้นไม่พบเลยว่าจริง ๆ แล้วเทย่าอยากทำอะไร”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะเทย่า คนเราต้องมีความฝันสิ เพราะฝันนั้นจะเป็นแรงผลักดันและเป็นแรงขับเคลื่อนให้เราไปให้ถึงฝั่งฝันที่เราเคยวาดหวังไว้ รีบค้นหาความต้องการของตัวเองให้พบ อย่าใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ โดยไม่ทำอะไรอย่างคนไร้ค่า”
ดวงตาของทรรศิกาวาวโรจน์เมื่อได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย เธอจ้องมองเพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงหน้า แววตาของเพื่อนบ่งบอกถึงความหวังดี ทรรศิกายังคงสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากเพื่อนรักคนนี้เสมอ
เมื่อก่อนเคยจริงใจกับเธออย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยน ทำให้ความโกรธนั้นคลายลงทันที
จะว่าไปแล้วไม่เคยมีคำพูดสรรเสริญเยินยอ หรือคำพูดประจบประแจง เพื่อเอาอกเอาใจเธอหลุดออกมาจากปากของนับดาวเลยสักครั้ง มีแต่คำพูดที่คอยชี้แนะเพื่อให้ทรรศิกาคิด หรือคำพูดเตือนสติด้วยความหวังดี หลายครั้งที่คำพูดของเพื่อนคนนี้ทิ่มแทงหัวใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอกลับพบว่าสิ่งที่นับดาวพูดมานั้นถูกต้อง จุดนี้เองที่ทำให้นับดาวแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเธอ
“ดาวนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ โดยเฉพาะการพูดจาทิ่มแทงใจเทย่า”
“ที่ดาวพูดก็เพราะว่าดาว...”
“หวังดี!!” สองสาวพูดขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นก็ประสานเสียงหัวเราะ
“ดีนะที่คนพูดประโยคนี้เป็นดาว ถ้าเป็นคนอื่นละก็โดนดีไปแล้วแน่ ๆ จำตอนที่เราเรียนด้วยกันได้ไหม ดาวเป็นคนคอยช่วยเทย่าเสมอเลยนะ ทั้งช่วยสอนการบ้าน ช่วยทำรายงาน และช่วยติวหนังสือให้เทย่าในช่วงใกล้สอบ ถ้าตอนนั้นเทย่าไม่มีดาวคอยขนาบไว้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียนจบไหม”
นับดาวเอื้อมไปกุมมือเพื่อนและเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ถึงเทย่าจะไม่มีดาวคอยช่วย แต่ดาวก็มั่นใจว่าเทย่าต้องทำได้แน่ เพราะเทย่าเป็นคนฉลาด อะไรก็ตามที่คนอย่างทรรศิกาตั้งใจที่จะทำ ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาดีเสมอ อยู่ที่ว่าจะทำไหมเท่านั้น”
“ดาวนี่เหมาะสมกับตำแหน่งเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจของเทย่าจริง ๆ เห็นทีว่าต่อไปนี้เทย่าคงจะต้องมาปรึกษาดาวบ่อย ๆ ซะแล้ว”
“ด้วยความยินดี”
“ว่าแต่ดาวมาทำอะไรแถวนี้”
นับดาวถอนหายใจ สีหน้าของเธอแสดงถึงความวิตกกังวล
“เป็นอะไรไป ทำไมต้องถอนหายใจด้วย”
นับดาวเล่าให้เพื่อนรักฟังว่าเธอมาเฝ้าบิดา ที่มานอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลใกล้ ๆ นี้เอง ทรรศิการีบสอบถามอาการป่วยบิดาของเพื่อนด้วยความใส่ใจอย่างแท้จริง พร้อมทั้งปลอบใจเพื่อนรัก
เมื่อรู้ว่าบิดาของเพื่อนป่วยและนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ประกอบกับหน้าตาของนับดาวที่ดูเศร้าหมอง สีหน้าก็แสดงถึงความวิตกกังวลใจในอาการป่วยของพ่อ ทำให้ทรรศิกาตัดสินใจวางปัญหาของตนเองไว้ก่อน แล้วเดินทางไปเยี่ยมบิดาของเพื่อนรักที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงจุดนั้นมากนัก อยู่ห่างกันแค่ห้าสิบเมตรเท่านั้น จากนั้นค่อยเดินทางกลับไปคุยเรื่องสำคัญกับคุณย่า
ตอนแรกคิดจะไปเยี่ยมสักครู่ก็จะกลับ แต่กลายเป็นว่าคุยกันเพลินจนเวลาล่วงเลยมาจนพระอาทิตย์ตกดินจึงได้กล่าวลา สองสาวไม่ลืมที่จะแลกเบอร์โทรศัพท์เพื่อใช้ในการติดต่อในภายหลัง
หลังจากออกจากโรงพยาบาลทรรศิกาก็รีบตรงกลับบ้านทันที ด้วยหวังว่าจะพบผู้เป็นย่ารออยู่ แต่กลับพบเพียงทนายสุชาติกำลังยืนรอพบเธออยู่ที่หน้าบ้าน
“สวัสดีครับคุณเทย่า” สุชาติเอ่ยทักหลานสาวคุณหญิง
ทรรศิกาเบ้ปาก เบือนหน้าหนี ในใจคิดว่าเจอหน้าทนายสุชาติ ต้องมีเรื่องไม่ดีแน่
“พายุอะไรพัดพาคุณทนายมาถึงที่นี่ได้”
ฉับพลันสายตาของทรรศิกาก็เหลือบไปเห็น กระเป๋าสัมภาระสามสี่ใบกองอยู่ไม่ห่างจากตรงจุดที่ทนายสุชาติยืนอยู่ หญิงสาวพยักพเยิดไปที่กระเป๋าเหล่านั้นพร้อมถาม
“นั่นกองสัมภาระของใครคะ อย่าบอกนะว่าคุณทนายจะย้ายมาพักที่นี่ เพื่อมาควบคุมความประพฤติของฉัน แล้วเก็บไปรายงานคุณย่า”
ทรรศิการีบวีนใส่ทนายประจำตัวคุณหญิงทิพย์มณี ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ตอบคำถามของเธอ
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณเทย่า แต่ที่ผมต้องมาที่นี่ก็เพื่อมาทำตามคำสั่งของคุณหญิง”
“คุณย่าติดต่อกลับมาหาคุณหรือคะ แล้วทำไมคุณสุชาติถึงไม่บอกฉัน”
“พูดแบบนี้แปลว่าคุณยังไม่ได้อ่านอีเมลที่ผมส่งไปให้ใช่ไหมครับ”
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน
“อีเมลอะไรคะ! ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ทรรศิกาถามพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาดู
“แบตหมด” เธอบ่นด้วยความหงุดหงิด
“คุณหญิงอีเมลมาสั่งงานผม ผมก็เลยส่งเมลนั้นไปให้คุณ แต่เมื่อคุณยังไม่ได้เปิดอ่านผมก็จะเป็นคนบอกคุณเอง คุณเทย่าพร้อมที่จะฟังหรือยังครับ”
ประโยคสุดท้ายของทนายสุชาติ ทำให้ทรรศิการู้สึกเสียวสันหลังวาบ เพราะไม่รู้ว่าคุณย่าจะเล่นตลกอะไรกับเธออีก แม้จะรู้สึกเช่นนั้นแต่ก็ยังไม่วายปากดี
“คุณสุชาติอยากจะบอกอะไรก็พูดมาได้เลยค่ะ ลีลาไม่ต้องเยอะ”
“ผมได้รับคำสั่งจากคุณหญิงให้มาจัดเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าของคุณไว้ให้พร้อม และสั่งการให้ปิดล็อกคฤหาสน์หลังนี้ ห้ามมิให้ใครเข้าออกโดยเด็ดขาด จนกว่าคุณหญิงจะเดินทางกลับมา ไม่เว้นแม้กระทั่งหลานสาวของท่าน”
“ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมคะ พูดผิดพูดใหม่ได้นะคะ”
“จะให้ผมพูดอีกกี่ครั้งก็เหมือนเดิมครับ”
“ตกลงว่าคุณย่าจะไล่ฉันออกจากบ้านหลังนี้อย่างนั้นหรือคะ”
“แค่ชั่วคราวเท่านั้นครับ”
คำตอบของทนายประจำตระกูล ทำให้อารมณ์ของทรรศิกาพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที อีกทั้งยังหวาดหวั่นกับอนาคตของตนเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะดูเหมือนว่าครั้งนี้คุณย่าพูดจริง ทำจริง ไม่ใช่เพียงแค่คำขู่อย่างที่เธอคิดไว้แต่แรก
“ฉันต้องขอบคุณคุณทนายด้วยไหมคะ ที่อุตส่าห์หวังดีมาช่วยเก็บข้าวของให้” ทรรศิกาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ใบหน้างามของเธอติดจะบึ้งตึง
แต่ทนายสุชาติไม่ถือสาหาความหญิงสาวรุ่นลูก เพราะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ผมทำทุกอย่างตามคำสั่งของคุณหญิงครับ”
นี่มันอะไรกัน!!
‘นรกชัด ๆ’
ไหนจะถูกยึดรถคันหรูคู่ใจ ถูกอายัดบัตรเครดิตและเงินในบัญชีธนาคาร เท่านั้นยังไม่พอยังต้องระเหเร่ร่อนออกไปหาที่อยู่เอง แต่ไม่เป็นไร เรื่องจิ๊บ ๆ แค่นี้เธอจัดการได้แน่ ก็แค่หยุดสร้างข่าวฉาว หยุดเที่ยวเตร่เฮฮาปาร์ตี้สักพัก หางานทำ และทำดีเพื่อสังคม แค่นี้คุณย่าก็ใจอ่อนแล้ว
แกล้งทำตัวเป็นคนดี เพื่อแลกกับชีวิตปกติที่เคยได้รับ ลำบากนิดหน่อยจะเป็นไรไป
“คุณหญิงยังให้ผมย้ำกับคุณเทย่าว่าคำสั่งเหล่านี้จะถูกยกเลิก ก็ต่อเมื่อคุณหญิงเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นของคุณเทย่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหญิงแต่เพียงผู้เดียวว่าสมควรจะให้คุณเทย่ากลับมาใช้ชีวิตเป็นนางหงส์เช่นเดิม หรือปล่อยให้คุณเทย่าใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยที่ท่านจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคุณ แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองของท่านเช่นกัน”
“ทำไมคุณย่าถึงทำกับหลานสาวคนเดียวของท่านแบบนี้คะ” หญิงสาวโอดครวญเมื่อรู้ชะตากรรมของตนเอง
“เรื่องนี้ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันครับ คุณเทย่าคงต้องไปถามคุณหญิงเอง”
เมื่อทนายสุชาติมองเห็นสายตาหวาดหวั่นต่ออนาคตของทรรศิกา ทำให้เขาตัดสินใจเอ่ยปากแนะนำอะไรบางอย่างกับเธอด้วยความจริงใจ โดยที่อีกฝ่ายมิได้ร้องขอ
“ในฐานะที่ผมเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนคุณ ขอแนะนำว่าคุณต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของคุณ พยายามปรับปรุงตัวเพื่อให้คุณหญิงเห็นว่าคุณสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยที่คุณหญิงไม่ต้องคอยให้ความช่วยเหลือคุณเหมือนที่ผ่านมา และคุณต้องทำมันอย่างจริงจังมิใช่เสแสร้งแกล้งทำ เพียงเพื่อให้หลุดพ้นไปจากวิกฤติในครั้งนี้”
ปรับเปลี่ยนตัวเองซะใหม่! พูดง่าย แต่ทำยาก
หลังจากอึ้งและคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ขอตัวเพื่อจะกลับเข้าไปในบ้าน ทนายสุชาติถามว่าเธอต้องการอะไร เพราะเขาได้ให้คนรับใช้จัดของมาให้หมดแล้ว
“ฉันจะกลับเข้าไปเอาเครื่องประดับที่คุณย่าเคยยกให้”
“คุณหญิงสั่งให้คุณสร้อยเก็บไปหมดแล้วครับ”
คำตอบของทนายความประจำตัวคุณย่าทำให้ทรรศิกาถึงกับอึ้งไป ขณะที่หญิงสาวกำลังสับสนวุ่นวายกับวินาทีตกกระป๋องนั้น ทนายสุชาติก็ยื่นมือมาตรงหน้าเธอ เธอมองมือนั้นด้วยความงุนงงพร้อมถามด้วยสายตาว่าต้องการอะไร
“ขอนาฬิกาคืนด้วยครับ”
หลานสาวคุณหญิงปลดนาฬิกาที่ข้อมือของตนเองส่งให้เขาแบบงง ๆ จากนั้นก็ปลดสร้อยพร้อมจี้เพชรและต่างหูเพชรส่งให้ทนายสุชาติ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอยืนตัวแข็งค้าง พร้อมกองกระเป๋าสัมภาระมากมาย อยู่หน้าโรงแรมระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ซึ่งเธอและกลุ่มเพื่อนไฮโซมักจะนัดรวมตัวกันมาทานข้าว และจัดงานปาร์ตี้หรูหราที่โรงแรมแห่งนี้อยู่เป็นประจำ
หลังจากยืนแข็งค้างเป็นท่อนไม้อยู่พักใหญ่ ทรรศิกาก็ได้สติ เธอจึงเห็นว่ามีพนักงานโรงแรมยืนมองเธออยู่ไม่ไกล ด้วยศักดิ์ศรีทรรศิกาเชิดหน้า จิกสายตามองไปยังกระเป๋า และทำสัญญาณมือให้พวกเขาเหล่านั้นยกตามเธอเข้ามา
เธอก้าวเดินด้วยมาดของสาวมั่นตรงไปยังแผนกต้อนรับ เพื่อขอเปิดห้องสวีตที่ราคาแพงตกคืนละหลายหมื่น แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น ถึงอย่างไรโรงแรมนี้ก็ต้องส่งบิลไปเรียกเก็บกับคุณย่าของเธออยู่ดี เพราะที่ผ่านมามันเป็นเช่นนั้นเสมอ ทรรศิกาจึงไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายตรงจุดนี้ คิดง่าย ๆ เพียงว่าเดี๋ยวส่งอีเมลไปง้อคุณย่าเสียหน่อย คุณย่าก็คงจะใจอ่อนและสั่งให้ทนายสุชาติมารับเธอกลับบ้าน
แม้รู้สึกหวาดหวั่นกับอนาคตของตนเองอยู่บ้าง แต่จะให้คนอย่างทรรศิกาไปพักอยู่ในโรงแรมกระจอก ๆ คงไม่ได้หรอก ถ้าบังเอิญกลุ่มเพื่อนไฮโซมาพบเจอเธอในสถานที่พวกนั้น ชื่อเสียงที่เธอสู้อุตส่าห์สั่งสมมาก็ย่อยยับหมดน่ะสิ
แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ร้านกระเป๋าแบรนด์เนมในวันนี้ ก็ทำให้เธออายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แถมยังแอบเห็นเนตรนภายิ้มเยาะหยันให้ ที่สำคัญเพื่อนปากโทรโข่งคนนี้ยังได้ยินตอนที่เธอคุยโทรศัพท์ขณะที่อยู่ในร้าน ป่านนี้คงเอาเรื่องของเธอไปเมาท์กันอย่างสนุกปาก แล้วจะให้เธอลดตัวไปพักโรงแรมเกรดต่ำกว่านี้ได้อย่างไร ขืนทำอย่างนั้นก็ยิ่งเป็นการสนับสนุนข่าวลือที่เนตรนภานำไปเมาท์กับผองเพื่อนน่ะสิ เธอยอมไม่ได้เด็ดขาด งานนี้ทรรศิกาสู้ไม่ถอย
ทายได้เลยไม่เกินสามวันคุณย่าจะต้องใจอ่อน และส่งคนมารับเธอกลับบ้าน
จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องพัก สิ่งแรกที่เธอทำเมื่อก้าวเข้าไปในห้องคือชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดอ่านอีเมลของทนายสุชาติ หลังจากอ่านจบเธอก็เขียนอีเมลส่งไปให้คุณย่าเพื่อตัดพ้อว่าคุณย่าใจร้าย ทำกับหลานสาวคนเดียวอย่างเธอเช่นนี้ได้ลงคอ โดยไม่สนใจว่าเธอจะตกระกำลำบากอย่างไร แต่ยังไม่วายออดอ้อนปิดท้ายว่าถึงคุณย่าจะไม่รักเธอเหมือนเดิม แต่เธอก็จะรักคุณย่าตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อส่งอีเมลเสร็จหญิงสาวก็ไปผ่อนคลายความตึงเครียด ด้วยการนอนแช่น้ำอุ่นแบบสบาย ๆ พร้อมการจิบไวน์ด้วยอารมณ์ชิวชิว และวางแผนที่จะไปตามหาตัวคุณย่า ในเมื่อคุณย่าสั่งปิดคฤหาสน์แบบไม่มีกำหนด ก็หมายความว่าเธอจะไม่ได้พบคุณย่าที่นั่น แต่โดยปกติแล้วคุณย่าเป็นคนขยัน และรักการทำงานเป็นชีวิตจิตใจ ทรรศิกาจึงเดาว่าคุณย่าจะต้องไปทำงานที่บริษัทแน่นอน เธอจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปพบคุณย่าที่ทำงาน ถ้าเจอตัวคุณย่าเมื่อไรไม่มีละที่ลูกอ้อนเธอจะใช้ไม่ได้ผล...
สโลแกนประจำตัวเธอคือ...ไม่มีอะไรที่ทรรศิกาทำไม่ได้
