บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

หลังจากโดนคุณย่าดุไปเมื่อเช้า ทรรศิกาก็เลือกที่จะไปเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พร้อมกับกลุ่มเพื่อนไฮโซของตนเองเป็นการแก้เครียด หญิงสาวเลือกซื้อกระเป๋าและรองเท้าที่ร้านแบรนด์เนมยี่ห้อดัง โดยเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แต่แล้วก็ต้องประสบกับปัญหา

เมื่อพนักงานแจ้งว่า “ขอโทษนะคะ บัตรใบนี้ไม่ผ่านค่ะ มีบัตรใบอื่นไหมคะ”

เกิดอะไรขึ้น! ทำไมบัตรของเธอถึงรูดไม่ผ่าน

ทรรศิกาไม่เคยหน้าแตกเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต นี่เป็นครั้งแรก และเป็นการหน้าแตกท่ามกลางสายตากลุ่มเพื่อนไฮโซของตนเอง

เธอหยิบบัตรเครดิตใบใหม่ยื่นให้พนักงานคนเดิม แต่คำตอบก็ยังเป็นเช่นเดิม ผู้คนในร้านเริ่มหันมามองเธอ รวมถึงเพื่อนไฮโซของเธอด้วย บ้างก็ซุบซิบ บ้างก็ชี้นิ้วมาทางเธอ

ดวงหน้าสวยร้อนวูบวาบ อับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แต่ยังกัดฟันถามเสียงต่ำว่า “แล้วใบนี้ล่ะ”

พนักงานรับไปดำเนินการ ก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่ผ่าน!” เธอเอ่ยเสียงสูง ใบหน้าสวยคมเริ่มบึ้งตึงจนเห็นได้ชัด บ่งบอกได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าตัวในยามนี้ว่าเริ่มที่จะหงุดหงิดกับปัญหาที่เกิดขึ้น

“ค่ะ...ไม่ผ่าน”

“เป็นไปได้ยังไง” เธอพูดพร้อมกับหยิบบัตรใบใหม่ส่งให้อีกครั้ง แต่ไม่ว่าทรรศิกาจะยื่นบัตรใบไหนไป ผลที่ออกมาก็ยังคงเหมือนเดิม ขณะที่กำลังวุ่นวายกับบัตรเครดิตอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“ว่าไงคุณสุชาติ”

“อะไรนะ!!...ถูกตัดออกจากกองมรดก” ทรรศิกาเผลอตะโกนออกมา ฉับพลันเธอก็รู้สึกตัว ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ทุกคนในร้านต่างก็พร้อมใจกันหันมามองเธอ กลุ่มเพื่อนไฮโซยิ้มเยาะอย่างเปิดเผย พร้อมส่งสายตาเย้ยหยันเธอโดยไม่เกรงใจ หญิงสาวได้แต่กัดฟัน

เธอคืนกระเป๋าและรองเท้าที่เลือกไว้ให้กับพนักงานคนนั้นด้วยความรู้สึกเสียหน้า พร้อมทั้งเดินออกมาจากร้านด้วยอาการหงุดหงิดที่ทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจ และรู้ว่าอีกไม่นานข่าวเรื่องที่เธอถูกตัดออกจากกองมรดกในครั้งนี้ จะต้องแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไวรัส

“ต้องเป็นคำสั่งของคุณย่าแน่เลยที่สั่งระงับบัตรเครดิตของเรา” เธอบ่น

หลังจากวางสายจากทนายประจำตระกูล ทรรศิกาพยายามโทร.ติดต่อคุณหญิงทิพย์มณี แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เธอจึงโทร.กลับไปหาทนายสุชาติอีกครั้ง และก็ได้รับคำตอบว่าตอนนี้เขากำลังคุยอยู่กับลูกค้าคนสำคัญไม่สะดวกที่จะรับสายเธอ และวางสายไปเลย

ทรรศิกาพยายามโทร.เข้ามือถือแต่กลับติดฝากข้อความ ทำให้เธอยิ่งกว่าหงุดหงิด อารมณ์ของเธอเดือดพล่านพร้อมที่จะเล่นงานใครสักคน

“กล้าดียังไงถึงไม่รับสาย ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราเจอกันแน่ คุณสุชาติ”

พูดจบก็วางสายพร้อมกับมองหาแท็กซี่ เพื่อให้ขับไปส่งเธอที่สำนักงานของทนายสุชาติ เมื่อทรรศิกาเห็นรถแท็กซี่ขับตรงเข้ามาจอดจึงรีบเดินเพื่อที่จะไปขึ้นรถคันดังกล่าว โดยไม่สนใจชายแปลกหน้าที่ยืนโบกแท็กซี่อยู่ก่อน เธอเบียดเขาเข้าไปบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไปในรถ เพราะชายคนนั้นดันประตูไว้ไม่ยอมให้เธอขึ้นไปนั่ง เธอจึงตวัดสายตาจ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจที่เขามาขวางทางเธอ

“ผมเรียกรถคันนี้ก่อน” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงห้าวดุ มองหญิงสาวที่เสียมารยาทด้วยสายตานิ่งลึกสีดำสนิท

ทรรศิกาหันกลับไปจ้องมองชายหนุ่มคู่กรณีอีกครั้ง เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ผมและดวงตาสีดำสนิท แววตาของเขาคมกริบดุจเหยี่ยว จมูกโด่งเป็นสันของเขาเสริมให้ใบหน้านั้นโดดเด่นและดูคมเข้มสมชายชาตรี จัดได้ว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอเปลี่ยนใจ เธอพยายามเบียดเขาออกไปเพื่อที่จะขึ้นรถคันดังกล่าว

“ฉันรีบไป คุณรอเรียกรถคันใหม่แล้วกัน” เธอกระแทกเสียงตอบ

ปากพูดอย่าง แต่ใจคิดอีกอย่าง

‘เชอะ! กล้ามากนะที่มาขวางทาง นี่ดีนะที่ฉันรีบไม่อย่างนั้นแม่จะวีนซะให้เข็ด คราวหน้าจะได้ไม่กล้าทำแบบนี้อีก’

น้ำเสียงไม่ใส่ใจ และกิริยาที่ไร้มารยาทของหญิงสาว ทำให้อติรุจซึ่งปกติเป็นคนมีน้ำใจไม่ค่อยมีปัญหาอะไรกับใคร ไม่คิดจะปล่อยมือออกจากประตูรถ และยังคงรั้งไว้ไม่ให้หญิงสาวคู่กรณีขึ้นรถได้

“มีคุณคนเดียวหรือที่รีบ ผมก็มีธุระสำคัญที่จะต้องรีบไปทำเหมือนกัน” ชายหนุ่มโต้ตอบกลับไปแบบไม่ยอมลดราวาศอก

“ทำไมคุณถึงไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย แค่นี้ก็เสียสละให้ผู้หญิงไม่ได้”

ถ้าเธอพูดกับเขาดี ๆ เขาคงยอมหลีกทางให้เธอไปก่อน แต่ทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้าม ตัวเองทำผิดแล้วยังมาหงุดหงิดใส่อารมณ์กับเขา ทำให้อติรุจไม่ยอมอ่อนข้อให้

“ก็ผมรีบ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ และยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง

จุดที่สองหนุ่มสาวยืนอยู่นั้นไม่ห่างจากป้ายรถเมล์ที่ตั้งอยู่หน้าห้างสรรพสินค้ามากนัก ทำให้ผู้คนที่กำลังยืนรอรถอยู่บริเวณนั้นเริ่มหันมาให้ความสนใจ และมองตรงมายังจุดที่เขาและเธอยืนอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนถึงกับหยุดเดินเพื่อหันมาดู

“ฉันว่าถ้าคุณเอาเวลาที่มายืนทะเลาะกับฉันไปเรียกรถคันใหม่ ป่านนี้คุณก็ได้ไปละ” ทรรศิกาบอกอย่างไม่ยอมเช่นกัน

“ใคร ๆ ก็รู้ว่าเวลานี้หารถแท็กซี่ยากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่พวกเขาจะต้องไปส่งรถเพื่อเปลี่ยนกะ”

“นั่นมันไม่ใช่ปัญหาของฉัน หลีกไป” ทรรศิกาพูดด้วยความหงุดหงิดพร้อมผลักตัวเขาอย่างแรง แต่เขากลับไม่สะดุ้งสะเทือน และยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม

“ตกลงจะไปไหมครับ” เสียงคนขับดังแทรกขึ้น

ขณะนั้นการจราจรเริ่มติดขัด รถคันหลังต่างก็บีบแตรเร่งเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ไปค่ะ...ไป” ทรรศิกาหันไปตอบคนขับ แล้วเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะปล่อยมือ เธอจำต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด

“คุณทำตัวเองนะ!” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับยักคิ้วให้

ยังไม่ทันที่อติรุจจะเข้าใจความหมายที่หญิงสาวพูด เท้าเล็ก ๆ บนส้นสูงสี่นิ้วแถมเป็นส้นเข็มก็กระแทกลงมาที่เท้าของเขาเต็มแรง จากนั้นทรรศิกาก็ผลักเขาออกห่างประตูพร้อมกับก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ชายหนุ่มใช้ความไวคว้าตัวหญิงสาวจอมเถื่อนไว้ แต่ยังไม่ไวพอเขาจึงคว้าได้แต่ถุงกระดาษที่หญิงสาวถือติดมือ

“ปล่อยนะ! ฉันบอกให้ปล่อย” ทรรศิกาออกคำสั่ง

เธอกระชากถุงที่อยู่ในมือ เพื่อหวังจะให้หลุดจากมือเขาแต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอติรุจไม่ยอมปล่อยมือ เขายังคงยื้อถุงใบนั้นไว้แน่น ทั้งคู่ต่างก็ยื้อยุดกันไปมาจนถุงขาดกระจุย ชุดชั้นในวาบหวิวสีสันสะดุดตาหล่นกระจายพื้น

ทรรศิกาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยความอายเธอจึงรีบเอื้อมมือลงเก็บชั้นในเหล่านั้นยัดใส่กระเป๋าตัวเอง เหลือเพียงบราเซียร์ลายเสือที่หล่นไปกองอยู่แทบเท้าเขา และมันอยู่ไกลเกินมือเอื้อม จะลงจากรถเพื่อไปเก็บก็กระไรอยู่จึงตัดใจปล่อยไป แต่ก่อนที่จะปิดประตูรถเธอตะโกนใส่เขาด้วยความหงุดหงิด

“เพราะคุณคนเดียวทำให้ฉันเสียเวลา บ้าที่สุด”

ทรรศิกากระแทกประตูรถใส่หน้าเขาเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ และสั่งให้คนขับแท็กซี่ออกรถเพื่อขับไปส่งยังที่หมายที่เธอต้องการ

หลังจากอติรุจโดนแม่ตัวดีกระทืบเท้าจนเจ็บแล้ว ยังต้องอับอายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ยืนดูอยู่ในบริเวณนั้น เขายืนเท้าสะเอวมองรถแท็กซี่จากไปด้วยความหัวเสียจนเผลอสบถออกมา ด้วยไม่คิดว่าจะมาเจอผู้หญิงป่าเถื่อน ไร้มารยาทเช่นนี้

“ซวย...ซวยจริง ๆ”

ขณะที่กำลังจะเดินไปเรียกแท็กซี่คันต่อไปนั้น เขาเหลือบไปเห็นสายตากล่าวหาที่จ้องมองมา ราวกับว่าเขาเป็นฆาตกรโรคจิตจากทั่วทุกสารทิศ ก็ทำให้เขาต้องก้มลงมองตาม บราเซียร์ลายเสือสีดำลายจุดของหญิงเจ้าปัญหานอนนิ่งสนิทอยู่แทบเท้าเขานั่นเอง

เมื่อสายตากล่าวหาเหล่านั้นยังไม่เลิกมอง อติรุจจำต้องก้มลงคว้าบราเซียร์ที่หล่นอยู่แทบเท้ายัดใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความโมโห

‘เวรเอ๊ย!...’ เขาสบถในใจ ขณะยัดบราเซียร์ตัวจิ๋วใส่กระเป๋า

“อย่าให้เจออีกเชียวนะ...จะเอาแอลกอฮอล์ล้างปากซะให้เข็ด” เขาพึมพำออกมาด้วยความแค้นเคือง

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเหตุการณ์เช่นนี้ จะทำให้เขาโมโหปนฉุนเฉียวได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ปกติแล้วเขาเป็นคนใจเย็น ไม่ค่อยถือสาหาความอะไรกับใครสักเท่าไร แต่ไม่ใช่กับผู้หญิงคนนี้

“ผู้หญิงอะไร...หน้าตาก็ดี...แต่กลับไม่มีมารยาทเอาซะเลย”

เขาบอกตัวเองว่าจะจดจำใบหน้าของผู้หญิงไร้มารยาทคนนี้ไว้ เจอเมื่อไรจะเอาคืนให้เข็ด

เมื่อเหลือบดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ อติรุจก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม เขาเสียเวลาไปมากแล้ว เพราะผู้หญิงคนเดียวทำให้เขาต้องเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ

ตอนนี้มีคนไข้กำลังรอการผ่าตัดของเขาอยู่ และด้วยเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดทำให้อติรุจตัดสินใจใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อให้ไปส่งเขาที่โรงพยาบาลให้ทันกับเวลา ที่เขาจะต้องเข้าห้องผ่าตัดคนไข้ฉุกเฉินแบบเร่งด่วน

ทันทีที่หญิงสาวเดินทางไปถึงสำนักงานทนายความ เธอรีบเดินตรงไปยังห้องทำงานของทนายสุชาติ โดยไม่สนใจฟังคำทัดทานของเลขาส่วนตัวที่มายืนขวางหน้าเธอไว้ ทรรศิกาตวัดสายตาคมจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ด้วยความไม่พอใจที่บังอาจมาห้ามปรามเธอ พร้อมออกคำสั่ง

“หลีกไป”

เมื่ออีกฝ่ายยังคงยืนปักหลักไม่ยอมล่าถอย ทรรศิกาจึงผลักไหล่เธออย่างแรง ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในห้องทำงานของทนายสุชาติ ด้วยมาดของนางพญาที่พกพาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เลขารีบเดินตามเข้ามาในห้องดังกล่าวพร้อมกับชี้แจง

“ฉันพยายามห้ามเธอแล้วนะคะบอส แต่เธอไม่ยอมฟังและดึงดันที่จะเข้ามา”

“ไม่เป็นไร...ผมจะคุยกับเธอเอง” สุชาติบอกกับเลขา จากนั้นก็หันไปเอ่ยทักทายหลานสาวเพียงคนเดียวของคุณหญิงทิพย์มณี

“สวัสดีครับคุณเทย่า เชิญนั่งก่อนครับ พายุอะไรพัดพาคุณเทย่ามาหาผมถึงที่นี่ได้”

ทรรศิกาเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเขาตามคำเชิญ จากนั้นก็เปิดประเด็นโดยไม่อ้อมค้อมตามประสาคนใจร้อน

“เกิดอะไรขึ้น”

“เป็นคำสั่งคุณหญิงครับ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบติดต่อคุณย่าให้ยกเลิกคำสั่งนี้ซะ” เธอสั่งอย่างวางอำนาจ

“ทำไม่ได้ครับ”

“ทำไมจะทำไม่ได้” ทรรศิกาตวาดเสียงดังฟังชัด

“เพราะผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าตอนนี้คุณหญิงอยู่ที่ไหน ทราบแต่เพียงว่าท่านต้องเดินทางไปทำธุระสำคัญโดยไม่มีกำหนดกลับ”

“แล้วถ้ามีเรื่องคอขาดบาดตาย หรือมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนขึ้นมา คุณจะติดต่อคุณย่ายังไง”

“อีเมลครับ”

“อีเมล!” ทรรศิกาทวนคำเสียงสูง

“ให้ตายสิ...นี่คุณสุชาติไม่ได้พูดล้อเล่นใช่ไหมคะ”

“ผมไม่กล้านำเรื่องนี้มาล้อคุณเทย่าเล่นหรอกครับ ผมเองก็ติดต่อหาคุณหญิงไม่ได้เหมือนกัน ท่านบอกไว้แต่เพียงว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้ส่งอีเมลหาท่าน แล้วท่านจะเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเอง”

เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ทรรศิกาจึงโวยวายใส่ทนายสุชาติโดยไม่ไว้หน้า

“คุณเป็นทนายของคุณย่าประสาอะไร ได้ค่าตอบแทนเดือน ๆ หนึ่งตั้งมากมาย แต่กลับทำงานไม่คุ้มค่าเงิน ถามอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง คุณย่าไปทำอะไรที่ไหน เมื่อไรจะกลับ จะติดต่อคุณย่าได้ยังไง ก็ตอบเป็นแผ่นเสียงตกร่องอยู่ได้ว่าไม่รู้”

ทนายสุชาติมิได้ถือโทษโกรธเคือง ที่โดนอีกฝ่ายวีนใส่อย่างไม่ไว้หน้า เขารับฟังคำพูดเหล่านั้นอย่างสงบ

“ก็ผมไม่ทราบจริง ๆ นี่ครับคุณเทย่า เพราะคุณหญิงไม่ได้บอกไว้ ว่าแต่คุณเทย่าพร้อมที่จะฟังสิ่งที่คุณหญิงฝากผมมาบอกคุณหรือยังครับ”

คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

“มีอะไรที่ฉันควรจะรู้แต่ยังไม่รู้อีกหรือ” ทรรศิกาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“มีครับและกรุณาตั้งใจฟังให้จบ เพราะสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้คือคำสั่งของคุณหญิง”

จากนั้นสุชาติก็ถ่ายทอดคำสั่งของคุณหญิงทิพย์มณี ให้ทรรศิกาฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“นับแต่นี้เป็นต้นไปคุณเทย่าจะไม่สามารถใช้บัตรเครดิต หรือเงินในบัญชีของคุณได้อย่างเสรีเหมือนที่ผ่านมา เพราะคุณหญิงได้สั่งอายัดบัตรเครดิตและเงินในบัญชีธนาคารต่างๆ ของคุณไว้หมดแล้ว นอกจากนี้ยังห้ามมิให้คุณนำเครื่องประดับหรือของมีค่าไปใช้โดยพลการ ที่สำคัญคุณหญิงจะคอยเฝ้าดูความประพฤติของคุณเทย่า และให้โอกาสคุณเทย่าได้พิสูจน์ตัวเองเป็นเวลาสามเดือน ถ้าคุณสามารถทำให้คุณหญิงพอใจกับความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ”

“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันทำไม่ได้อย่างที่คุณย่าต้องการ หรือทำไม่ได้ตามที่ท่านคาดหวังไว้” ทรรศิกาถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นเป็นครั้งแรก

“คุณหญิงก็จะตัดคุณออกจากการเป็นผู้สืบทอดมรดกของท่าน และก็จะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับองค์กรการกุศล”

คำพูดของทนายสุชาติราวกับฟ้าผ่าลงมาตรงหน้า และทำให้หลานสาวคุณหญิงทิพย์มณีถึงกับหมดแรงไปดื้อ ๆ

ทรรศิกาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคุณย่าถึงได้เล่นตลกกับเธอด้วยวิธีนี้ แต่มันเป็นตลกร้ายที่ทำให้เธอถึงกับขำไม่ออก เพราะไม่คิดว่าคุณย่าจะใช้วิธีนี้ดัดนิสัยเธอ

แม้ไม่อยากจะเชื่อ...แต่ก็ต้องเชื่อ...เพราะมันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ

ฟ้าถล่มดินทลายเป็นอย่างไร ทรรศิกาเพิ่งจะเข้าใจเป็นครั้งแรก เมื่อคุณย่ากำลังจะลอยแพเธอ...

‘คุณย่าทำอย่างนี้ได้ยังไง...ไม่ยุติธรรมสักนิด’ เธอได้แต่รำพึงรำพันอยู่ในใจ

ขณะที่ทรรศิกากำลังคิดวุ่นวายกับปัญหาที่เกิดขึ้น เธอก็แว่วได้ยินเสียงคุณสุชาติพูดว่า

“คุณเทย่ามีอะไรจะถามอีกไหมครับ”

หญิงสาวส่ายหน้า เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าคุณย่าเอาจริง ต่อให้คาดคั้นถามทนายไปก็คงไร้ประโยชน์ เธอเป็นหลานรักของคุณหญิงจึงรู้นิสัยของผู้เป็นย่าดีว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณหญิงทิพย์มณีเอาจริงขึ้นมา ใครก็มิอาจขวางได้

ทรรศิกาจำต้องลุกขึ้นด้วยท่าทางเหม่อลอย ดวงหน้าสวยซีดเผือด

“ผมไม่ส่งนะครับ” สุชาติกล่าว

แต่ก่อนที่ทรรศิกาจะเดินออกไปจากห้อง เธอได้หันไปพูดกับทนายความประจำตัวคุณย่า หรือจะเรียกว่าทนายประจำตระกูลเขมะสิริกุลก็คงไม่ผิด

“ถ้าคุณย่าติดต่อคุณเมื่อไร ฝากบอกท่านด้วยนะคะว่าฉันอยากจะคุยกับท่านด่วนที่สุด”

“ได้ครับ ผมจะบอกคุณหญิงตามที่คุณต้องการ”

“อย่าให้รู้นะว่าคุณแอบติดต่อกับคุณย่าลับหลังฉัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ถ้าฉันจับได้ว่าคุณเล่นตุกติกละก็ จะกลับมาอาละวาดพังสำนักงานของคุณให้ราบเป็นหน้ากลอง ไม่เชื่อก็คอยดู” พูดจบก็เชิดหน้าเดินจากไปทันที

สุชาติถึงกับส่ายหัวเมื่อได้ยินคำขู่ของเธอ

“คุณเทย่า...ก็คือคุณเทย่าวันยังค่ำ...เคยเอาแต่ใจตัวเอง...และใจร้อนวู่วามอย่างไร...ก็ยังเหมือนเช่นเดิม...เดาได้เลยว่าคงจะเปลี่ยนแปลงได้ยากเต็มที”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel