บทที่ 4
คุณหญิงทิพย์มณีคุยโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ก่อนจะวางสาย จากนั้นก็เช็กอีเมลของตนเอง ด้วยคิดว่าทรรศิกาจะต้องส่งอีเมลหาเธอแน่นอน เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะสื่อสารกับเธอได้ และก็เป็นไปตามความคาดหมาย คุณหญิงนั่งอ่านอีเมลของหลานสาวด้วยรอยยิ้ม
“กำลังอ่านอะไรอยู่หรือคะคุณหญิง” สร้อยเอ่ยถาม
“อ่านอีเมลของเทย่า เขาอีเมลมาตัดพ้อว่าฉันเป็นย่าใจร้าย ที่ทำให้เขาต้องออกไประเหเร่ร่อน เหมือนเจ้าไม่มีศาล”
“ก็คุณเทย่าไม่เคยลำบากลำบนมาก่อนเลยนี่คะ ชีวิตของเธออยู่บนความสุขสบายมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง จะไปพักอยู่ที่ไหน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกสร้อย ตอนนี้คุณหนูเทย่าของสร้อยพักอยู่ที่โรงแรมห้าดาว”
“สร้อยอดเป็นห่วงคุณเทย่าไม่ได้หรอกค่ะคุณหญิง ในเมื่อเธอไม่เคยสัมผัสกับความลำบากในชีวิตมาก่อน แถมเงินที่มีก็จะต้องลดน้อยลงเรื่อย ๆ”
“หลานสาวฉันเป็นคนฉลาด เขาต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ได้แน่ เชื่อฉันสิว่าเมื่อเข้าตาจนจริง ๆ ทรรศิกาก็จะปรับตัวได้เอง เขาจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีทำให้ตนเองผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้”
“ด้วยวิธีไหนล่ะคะ ถ้าจะให้คุณเทย่าไปหางานทำ แล้วใครล่ะคะที่จะเข้าใจและทนนิสัยของเธอได้”
ที่ต้องพูดเช่นนี้เนื่องจากสร้อยรู้จักนิสัยของเจ้านายสาวเป็นอย่างดี เพราะดูแลกันมาตั้งแต่เธอยังแบเบาะ หญิงสาวถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ ทำให้ทรรศิกาเป็นคนเจ้าอารมณ์ และเอาแต่ใจตัวเองอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่ใครทำให้ไม่พอใจ เธอเป็นต้องอาละวาดจนคนเข็ดขยาดไปตาม ๆ กัน
“ฉันเชื่อมั่นนะสร้อยว่าต้องมีใครสักคน ที่จะสามารถปราบพยศหลานสาวของฉันได้”
“ใครคือคนที่คุณหญิงพูดถึงคะ” สร้อยถามด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้หรอก คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าใครจะเป็นคนทำให้เทย่ากลับตัวกลับใจ และปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของตนเอง ฉันขอสั่งห้ามไม่ให้สร้อยติดต่อกับเทย่าโดยเด็ดขาด เพราะเธอมันเป็นคนใจอ่อน ถ้าไม่อยากเห็นเจ้านายของเธอเสียผู้เสียคนก็ต้องใจแข็งอย่างฉัน เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะคุณหญิง”
แม้จะเห็นใจเจ้านายสาวของตนที่ต้องไปตกระกำลำบาก แต่ก็เห็นด้วยกับความคิดของคุณหญิงทิพย์มณี เพราะเล็งเห็นแล้วว่าขืนปล่อยไว้คุณหนูทรรศิกาอาจจะเสเพลจนกู่ไม่กลับ
หลังจากการผ่าตัดใหญ่ที่ยาวนานร่วมสามชั่วโมงเสร็จสิ้นลง อติรุจซึ่งเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ที่เข้าร่วมการผ่าตัดได้เดินกลับเข้าไปในห้องพักแพทย์ เขาพบเพื่อนหมอและพยาบาลกำลังยืนจับกลุ่มคุยกันถึงการผ่าตัดในครั้งนี้
“การผ่าตัดเรียบร้อยดีไหมรุจ” อิทธิพลเอ่ยถาม
“ก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่คงต้องคอยเฝ้าดูอาการกันอย่างใกล้ชิด”
“ยังไม่พ้นขีดอันตรายเหรอคะ” หนึ่งในคณะพยาบาลเอ่ยถาม
“ยังฟันธงไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ แม้การผ่าตัดจะสำเร็จลุล่วงไปแล้วแต่ก็ยังวางใจไม่ได้ คงต้องเฝ้าดูอาการกันต่อไป”
“ภาวนาขอให้เด็กปลอดภัย”
หมอและพยาบาลยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องของพ่อหนูน้อยวัยเพียงห้าขวบเศษ ที่ประสบอุบัติเหตุและถูกส่งตัวมารับการรักษาที่นี่ อติรุจยืนฟังการสนทนาเหล่านั้นโดยไม่ออกความคิดเห็น เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้า โดยไม่รู้ตัวว่าได้ทำของบางอย่างร่วงหล่นลงมาด้วย
“หมอรุจทำของตกค่ะ” พยาบาลสาวคนหนึ่งร้องทักและแอบยิ้ม
ทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่หลักฐานชิ้นสำคัญที่ร่วงอยู่บนพื้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำเมื่อเห็นของชิ้นดังกล่าว
“ของอะไรครับ!?”
แล้วเขาก็ได้คำตอบ เมื่อเพื่อนสนิทของเขาเดินมาเก็บของชิ้นนั้นขึ้นมาโชว์ตรงหน้า
“แม่เจ้าโว้ย! อกอึ๋มซะด้วย น่าอิจฉานายจริง ๆ เลยว่ะรุจ”
อติรุจหน้าเปลี่ยนสีไปชั่วขณะ เมื่อเห็นของที่อยู่ในมือเพื่อน แววตาของเขาวูบไหวก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วก็พานต่อว่าเจ้าของบราเซียร์ตัวนั้นอยู่ในใจ
‘ยัยตัวแสบ!! สร้างปัญหาให้อีกจนได้ ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้นะ’
ทุกคนประสานเสียงหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอติรุจ
“คุณหมอมีแฟนตั้งแต่เมื่อไรคะพวกเราไม่เห็นรู้เรื่องเลย” สุรีย์พยาบาลสาวที่ค่อนข้างสนิทกับหมอหนุ่มเอ่ยถาม
“นั่นสิ ไอ้เราก็นึกว่านายจะไม่สนใจผู้หญิง ที่ไหนได้กลายเป็นเสือซุ่ม แอบซุกแฟนไว้โดยไม่ยอมบอกให้ใครรู้” อิทธิพลเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่มากกว่าจะคิดต่อว่าอย่างจริงจัง ที่อีกฝ่ายปิดปากเงียบเรื่องแฟนสาว
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณคิด เรื่องนี้ผมอธิบายได้ คือว่า...” อติรุจพยายามที่จะพูดชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจ แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะเพื่อนหมอและเหล่าพยาบาลกลับเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
“ไม่ต้องแก้ตัวหรอกรุจ หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด” สาธิตเอ่ยพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนไปให้เพื่อนรัก
อิทธิพลเดินไปกอดบ่าเพื่อน พร้อมซักถามนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ ทั้งที่ยังถือหลักฐานชิ้นสำคัญไว้ในมือ
“บอกเรามาซะดี ๆ ว่าเจ้าของบราสุดสยิวตัวนี้เป็นใคร พวกเรารู้จักหรือเปล่า”
“ที่วันนี้หมอรุจมาช้าเป็นเพราะเหตุนี้เองเหรอคะ”
แม้พยาบาลคนดังกล่าวจะไม่ได้เอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่ทุกคนต่างก็เข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นในประโยคนั้นได้เป็นอย่างดี พวกเขาต่างก็นึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่คุณหมออาจทำกิจกรรมอะไรบางอย่างอยู่ แต่ด้วยความรีบร้อนจึงติดสิ่งนี้มาด้วย พยาบาลสาวคนอื่น ๆ ต่างก็ช่วยกันผสมโรงเอ่ยแซว คุณหมอหนุ่มเนื้อหอมเบอร์หนึ่งของโรงพยาบาลนี้กันอย่างสนุกสนาน
“บ้าฉิบ! เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว” หมอหนุ่มเผลอตัวสบถออกมา
“ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณเข้าใจ ไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก” อติรุจเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
“หรือนายจะให้พวกเราเข้าใจว่านายเป็นหมอโรคจิตที่ชอบพกชุดชั้นในผู้หญิง” สาธิตเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มยั่วกลาย ๆ
“ถ้าพวกเราเข้าใจผิดจริง ๆ อย่างนั้นนายก็อธิบายมาสิว่านายได้ไอ้ชุดชั้นในลายเสือนี้มาได้ยังไง”
อติรุจถึงกับอึ้งเมื่อเจอคำถามคาดคั้นของอิทธิพล เขาควรจะตอบตามความเป็นจริงดีไหมนะ สุดท้ายเขาตัดสินใจที่จะไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี อยากจะเข้าใจอย่างไรก็ตามใจ
“ถึงพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของผม เพราะฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องอธิบาย”
“สรุปว่าหมอรุจยอมจำนนด้วยหลักฐานหรือคะ” พยาบาลสาวในห้องนั้นเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“แล้วนั่นนายจะไปไหน” อิทธิพลเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้องไป
“ไปตรวจคนไข้”
“แล้วจะให้ทำยังไงกับหลักฐานชิ้นนี้ดี”
“ทิ้งไป” อติรุจตอบเสียงห้วนโดยมิได้หันกลับไปมอง
“นายมาเก็บไปเถอะ เกิดแม่เสือสาวเจ้าของบราสุดสยิวถามหาขึ้นมา แล้วนายไม่มีให้จะเป็นเรื่อง” อิทธิพลเดินไปยัดเยียดบราลายเสือตัวนั้นใส่มือเพื่อน อติรุจรับมาเก็บใส่กระเป๋าแล้วเดินจากไปทันที ปากก็ต่อว่าหญิงสาวที่คอยสร้างปัญหาให้เขาได้ไม่หยุดหย่อน
“ยัยตัวร้าย!! อย่าให้เจออีกนะ เจออีกเมื่อไรจะเอาคืนให้เข็ด”
บ่ายวันต่อมาทรรศิกาเดินทางไปที่บริษัทสตาร์ไดมอนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอัญมณีชื่อดังอันดับหนึ่งของเมืองไทยที่คุณย่าของเธอเป็นเจ้าของอยู่
“ฉันมาขอพบท่านประธาน ท่านอยู่ข้างในใช่ไหม” หญิงสาวบอกกับเลขาหน้าห้องของคุณย่าด้วยมาดของนางพญา
“คุณหญิงไม่อยู่ค่ะ”
“อย่ามาโกหก เป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณย่าจะไม่มาทำงาน”
ทรรศิกาพูดพร้อมกับเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นย่า เธอพบแต่ความว่างเปล่า
“ไม่อยู่จริง ๆ ด้วย” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหันไปคาดคั้นคำตอบจากแม่เลขาหน้าห้อง
“เธอรู้ไหมว่าท่านประธานไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ ท่านไม่ได้บอกไว้ บอกแต่ว่าช่วงนี้จะไม่เข้าบริษัท และได้มอบหมายงานทุกอย่างไว้กับท่านรอง ถ้าคุณเทย่าอยากทราบอะไรก็คงต้องไปถามกับท่านรองค่ะ”
“ไม่ได้เรื่องตามเคย” ทรรศิกาพูดด้วยความฉุนเฉียว ก่อนจะเชิดหน้าเดินตรงไปที่ห้องทำงานของรองประธานบริษัท ที่เธอให้ความนับถือเสมือนญาติคนหนึ่ง
“ท่านรองอยู่ข้างในใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
ทรรศิการีบก้าวเข้าไปในห้องทำงานนั้นทันที โดยไม่รอให้แม่เลขาแจ้งเจ้านายก่อน ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เธอจะต้องได้รับคำตอบที่ต้องการ
““สวัสดีค่ะลุงทิน” หญิงสาวเอ่ยทักทาย
“หนูเทย่ามาตั้งแต่เมื่อไร” สุทินหนุ่มใหญ่ใจดีวัยหกสิบห้าปีเอ่ยทักอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น
“เทย่าเพิ่งจะมาถึงเดี๋ยวนี้เองค่ะ”
“นั่งก่อนสิ มาหาลุงมีธุระอะไรหรือเปล่า” สุทินเอ่ยถามหลานสาวประธานบริษัทด้วยความสนิทสนม เพราะเห็นเธอมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
“อันที่จริงเทย่าจะมาขอพบคุณย่า แต่แม่เลขาหน้าห้องบอกว่าคุณย่าไม่อยู่ และจะไม่เข้าออฟฟิศสักระยะหนึ่งซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ คนที่หายใจเข้าหายใจออกเป็นการทำงานอย่างคุณย่า มีหรือที่จะละทิ้งงานที่บริษัทไปเฉย ๆ แบบนี้”
“คุณหญิงอาจจะมีธุระสำคัญที่จะต้องไปทำด้วยตัวเอง ก็เลยไม่สะดวกที่จะเข้าบริษัทในช่วงนี้ และได้มอบหมายให้ลุงจัดการงานทุกอย่างแทนในช่วงที่ท่านไม่อยู่”
“ลุงทินทราบไหมคะว่าคุณย่าไปไหน และจะติดต่อคุณย่าได้ยังไง”
สุทินส่ายหน้าก่อนจะตอบว่า “ลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะคุณหญิงไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรไว้ บอกแต่เพียงว่าจะไม่เข้าบริษัทพักใหญ่ และสั่งให้ลุงดูแลงานที่นี่แทน”
ไม่ว่าทรรศิกาจะถามอะไร เธอก็จะได้รับคำตอบแบบเดียวกับที่เธอเคยได้รับจากทนายสุชาติ คือไม่รู้ ไม่เห็นใด ๆ ทั้งสิ้น
และนั่นยิ่งทำให้หลานสาวคุณหญิงรู้สึกหงุดหงิดที่ทุกอย่างดูจะไม่ได้ดั่งใจ
ตอนแรกนึกว่าจะได้พบคุณย่าที่นี่ แต่ก็คว้าน้ำเหลวจนได้ แถมยังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการอีก
“ถ้าอย่างนั้นเทย่าขอมาทำงานที่นี่” ทรรศิกาเปลี่ยนประเด็น
“ได้สิ เพราะคุณหญิงคิดไว้อยู่แล้วว่าหนูเทย่าจะต้องมาที่นี่ ท่านก็เลยสั่งไว้ว่าถ้าหนูต้องการที่จะมาทำงานก็ให้รับไว้ แต่ให้บรรจุในตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด”
“ตำแหน่งอะไรนะคะ!!” ทรรศิกาถามเสียงสูงปรี๊ด “เทย่าต้องหูฝาดไปแน่ ๆ”
“หนูได้ยินไม่ผิดหรอก” คำตอบที่ได้รับกลับมาไม่สบอารมณ์คนฟัง
“บ้าไปกันใหญ่แล้ว หลานสาวเจ้าของบริษัทจะมาทำงานที่นี่ทั้งที แต่กลับให้เริ่มต้นที่ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดบริษัท” หญิงสาวโวยวายเสียงดัง พร้อมกับชักสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
“ก็คุณหญิงสั่งไว้เช่นนั้น”
ทรรศิกาทั้งโกรธและโมโหที่โดนคุณย่าเล่นงานหนักขนาดนี้
“ลืมไปได้เลย ให้จนตรอกยังไงเทย่าก็ไม่มีวันมาทำงานต่ำ ๆ ในตำแหน่งกระจอก ๆ แบบนี้หรอกค่ะ เชิญลุงทินเก็บตำแหน่งนี้ไว้ให้คนอื่นเถอะค่ะ เทย่าขอตัวก่อนนะคะ”
หญิงสาวทำความเคารพผู้สูงวัยที่รั้งตำแหน่งรองประธานบริษัท ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยมิยอมฟังคำทัดทานใด ๆ
“เป็นอย่างที่คุณหญิงคาดเดาไว้ไม่ผิด คนอย่างคุณหนูเทย่าไม่มีทางลดตัวลงมาทำงานในตำแหน่งนี้อยู่แล้ว” สุทินพูดกับตัวเองพร้อมกับส่ายหัว
“ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด พากันเพี้ยนไปละ คิดได้ยังไงว่าจะให้คนอย่างทรรศิกามาเป็นพนักงานทำความสะอาดในบริษัท ฝันไปเถอะ”
เมื่อไม่ได้ความคืบหน้าใด ๆ ทรรศิกาก็ออกอาการเซ็งสุด ๆ จนถึงขั้นบ่นออกมาดัง ๆ
“น่าเบื่อชะมัด!! ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง”
จังหวะนั้นเองโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวกดรับทันทีที่เห็นว่าใครเป็นผู้โทร.เข้ามา
“กรโทร.หาเทย่ามีธุระอะไรหรือเปล่า”
ปกรณ์หัวเราะตามประสาคนอารมณ์ดี “ผมเพิ่งรู้นะว่าต้องมีธุระถึงจะโทร.หาคุณได้”
“เทย่าไม่ได้หมายความแบบนั้น” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูแปลกไปจากเดิม
“ทะเลาะกับคุณย่ามาหรือครับ เสียงของคุณฟังดูไม่ดีเลย” ปกรณ์ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“เปล่าค่ะ เทย่าแค่รู้สึกเซ็ง”
“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ออกมาทานข้าวกับผมเป็นการแก้เซ็งดีไหม คุณแต่งตัวสวย ๆ รอไว้ได้เลย เดี๋ยวผมขับรถไปรับที่บ้าน”
“กรมารับเทย่าที่สตาร์ไดมอนด์ละกัน เทย่าจะนั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟใต้ตึก มาเร็ว ๆ นะ รู้ใช่ไหมว่าเทย่าไม่ชอบการรอคอย และเบื่อที่จะต้องนั่งรอใครเป็นเวลานาน ๆ”
“กรจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสายปกรณ์ก็ขับรถตรงไปรับทรรศิกาตามที่ได้นัดหมายกันไว้
จะว่าไปเขาเพิ่งจะรู้จักเธอได้ไม่นาน ผ่านการแนะนำจากเพื่อนของเธอในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอถูกตาต้องใจเขาตั้งแต่แรกพบ ทั้งที่ตัวเขาเองพบเจอผู้หญิงมาก็มาก เจอลูกคุณหนูมาก็เยอะ แต่ไม่เคยมีใครทำให้เขาประทับใจได้เลยสักคน ยกเว้นเธอ!
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาได้ยินแต่ข่าวในแง่ลบ รวมถึงนิสัยแย่ ๆ ของทรรศิกาอยู่บ่อยครั้งจากคนรอบข้างตัวเธอ เพื่อนของเธอหลายคนก็เคยเอ่ยเตือนเขา
“ถ้าคิดจะคบกับทรรศิกาต้องทนนิสัยขี้วีนของหล่อนให้ได้ซะก่อน”
“ใช่ นอกจากวีนเก่งแล้ว ยังเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองและไม่มีเหตุผล เวลาใครทำอะไรไม่ถูกใจเป็นโดนหล่อนเหวี่ยงใส่ทุกที”
“นี่ถ้าหล่อนไม่รวยจริงแล้วทำนิสัยแย่ ๆ แบบนี้ก็คงไม่มีใครคบหาด้วย”
นี่ล่ะนิสัยของผู้หญิงน่าเบื่อ ปากก็บอกว่าเป็นเพื่อนกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนินทาว่าร้ายกันลับหลัง
คำบอกเล่าของพวกเซเลบเหล่านั้น ทำให้ปกรณ์หันมาให้ความสนใจในตัวทรรศิกา เพราะอยากรู้ว่าคำพูดพวกนั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องความรวย ที่ผ่านมาเขาไม่เคยตัดสินใครเพียงเพราะคำพูด หรือลมปากของคนรอบข้าง และเลือกที่จะสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของบุคคลเหล่านั้นด้วยตัวเอง
หลังจากรู้จักกันเขาก็เริ่มค้นหาข้อมูลของเธอ และสืบจนรู้ว่าทรรศิกาเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของคุณหญิงทิพย์มณี ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทอัญมณียักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ที่สำคัญเธอเป็นหลานสาวที่คุณหญิงรักมาก และเป็นคนที่จะได้รับมรดกของคุณหญิงแต่เพียงผู้เดียว นี่ต่างหากที่ทำให้ปกรณ์สนใจในตัวเธอจนมองข้ามนิสัยแย่ ๆ เหล่านั้น เขาเริ่มเข้าไปทำความสนิทสนมกับทรรศิกาจนอีกฝ่ายไว้วางใจ และยอมไปไหนมาไหนกับเขาตามลำพังในบางครั้ง แต่กว่าที่จะทำให้เธอไว้วางใจในตัวเขาได้ ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน
